ในสถานการณ์น้ำมันแพงๆแบบนี้น่าจะส่งผลดีให้กับรถยนต์ไฟฟ้าเป็นอย่างมาก ซึ่งถ้าดูค่ายรถยนต์หรูอย่าง Volvo ก็จะมีรถยนต์ไฮบริดมาให้เลือกเยอะแต่ถ้าอยากได้แบบไฟฟ้าล้วนก็ยังมี XC 40 Recharge เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจในราคา 2.59 ล้านบาท
มองเผินเผิน XC 40 Recharge กับตัว Hybrid แทบจะแยกไม่ออก แต่ถ้ามองทางด้านหน้าก็จะเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจนเพราะรถรุ่นนี้มีกระจังหน้าปิดทึบไม่ได้เป็นตะแกรงแบบตัว Hybrid เพราะไม่มีเครื่องยนต์ต้องระบายความร้อนกัน โดยกรอบกระจังหน้าจะสอดรับกับโคมไฟหน้าที่เป็นแอลอีดี LED โดยมีไฟ Day Time เป็นเส้นนำแสงอยู่ตรงกลาง
ตัวรถก็จะมีความสูงในสไตล์ SUV จึงได้รถตัวถังสูงหน่อยเอาไว้ลุยได้บ้างแต่ไม่ต้องถึงกับลุยน้ำท่วมล้อ โดยช่วงล่างก็จะได้ความนุ่มๆหน่อยไม่แข็งหนึบแบบพวกรถเก๋งทำให้การเข้าโค้งจะไม่เฉียบคมเท่า ซึ่งเป็นข้อแตกต่างที่ชัดเจนระหว่างรถตัวถังสูงกับรถตัวถังเตี้ยแบบรถเก๋ง
เมื่อมองทางด้านท้ายก็จะเหมือนกับตัว Hybrid ความแตกต่างที่บ่งบอกได้ชัดเจนก็คือแผ่นเพลทเล็กๆทางด้านขวามือที่บอกว่าเป็น Recharge Twin สำหรับรถที่ใช้การขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ของรถยนต์คันนี้
แผงคอนโซลก็ยังคงมีกลิ่นอายของรถที่ใช้เครื่องยนต์ในอดีตอยู่ พอขึ้นไปนั่งปิดประตูรถก็พร้อมที่จะทำงาน เมื่อเหยียบเบรคดึงคันเกียร์รถก็พร้อมที่จะเคลื่อนที่ได้ทันที
จุดควบคุมหลักจะอยู่ตรงจอกลางที่ใช้ควบคุมอุปกรณ์ต่างๆที่ต้องอาศัยการเรียนรู้ก่อนการขับขี่ โดยจอกลางจะวางตั้งเป็นจอสัมผัสขนาด 9 นิ้วมาพร้อมเครื่องเสียง 600 วัตต์พร้อมลำโพง 13 ตัวของ Harman Kardon
ในส่วนของจอแสดงผลหลังพวงมาลัยจะเป็นจอขนาด 12.3 นิ้วที่ให้ข้อมูลหลากหลายตามการปรับเปลี่ยน เมื่อปิดประตูแต่ไม่ได้คาดเข็มขัดนิรภัยก็จะมีภาพแจ้งเตือนเอาไว้ตรงจอด้วย
เบาะนั่งจะเป็นเบาะหนังแท้ผสมไวนิลที่มีการตัดเย็บอย่างประณีต เบาะนั่งทางฝั่งผู้ขับขี่ก็จะใช้การปรับด้วยไฟฟ้าพร้อมหน่วยบันทึกความจำ
เบาะนั่งด้านหลังจะมีหมอนรองศีรษะสูง 2 ตำแหน่งส่วนตรงกลางจะเป็นหมอนรองศีรษะที่หดเก็บเอาไว้เมื่อไม่ใช้งานเพื่อไม่ให้บดบังสายตาของผู้ขับขี่เวลามองจากกระจกมองหลัง ส่วนช่องแอร์จะมีมาให้พร้อมเพื่อการกระจายความเย็นอย่างทั่วถึงมาทางด้านหลัง
พนักพิงเบาะหลังใช้การพับแยกแบบ 40-60 เมื่อทำการพับพนักพิงเบาะพนักพิงศีรษะก็จะพับเก็บโดยอัตโนมัติ
ห้องเก็บของทางด้านหลังจะมีพื้นเรียบแต่จะมีมือจับเพื่อเอาไว้ดึงเปิดสำหรับการจัดเก็บพวกอุปกรณ์การชาร์จไฟทำให้ดูไม่เกะกะสายตา
เมื่อเปิดฝากระโปรงหน้าจะไม่เจอกับเครื่องยนต์แบบในรุ่น Hybrid แต่จะเห็นฝาปิดทึบ เมื่อเปิดฝาขึ้นมาก็จะเจอพื้นที่เก็บของในสไตล์เดียวกับพวกรถวางเครื่องยนต์ทางด้านหลังก็เป็นความแปลกไปอีกแบบหนึ่ง
สำหรับการขับเคลื่อนจะใช้มอเตอร์ 2 ตัวแยกการขับเคลื่อนล้อหน้ากับล้อหลังโดยมีกำลังมอเตอร์ขนาด 150/150 kw ซึ่งจะให้กำลังสูงสุด 204+204 แรงม้าแรงบิดสูงสุด 330+330 นิวตันเมตรโดยมีอัตราเร่งจาก 0 ถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงในเวลา 4.9 วินาที โดยทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 180 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งการขับเคลื่อนก็จะใช้เกียร์อัตโนมัติ Single Speed แต่ก็ได้อัตราเร่งดีกว่าการใช้เครื่องยนต์เพียงอย่างเดียวแบบในอดีต
แบตเตอรี่ที่ใช้จะเป็นลิเธียมไอออน Nickel Rich ความจุ 78 กิโลวัตต์ชั่วโมงสามารถเดินทางได้ประมาณ 418 กิโลเมตรต่อการชาร์จ 1 ครั้ง ส่วนระหว่างการเดินทางก็สามารถที่จะแวะชาร์จไฟได้ 80 เปอร์เซ็นต์ในเวลา 40 นาทีซึ่งจะทำให้สามารถเดินทางได้ไกลขึ้น