ตลาดบิ๊กไบค์ในบ้านเรามีตัวให้เลือกเยอะซึ่งก็มีความหลากหลายของจุดขายที่แตกต่างกันหากอยากเลือกบิ๊กไบค์มาใช้งานสักคันรอยัล เอนฟิลด์ เมทธีออร์ 350 น่าจะเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจรุ่นหนึ่ง
โดยเมทธีออร์ 350 มีให้เลือก 3 รุ่นประกอบด้วย Fireball, Stellar และ Supernova สำหรับรุ่นที่ได้ลองขี่ในครั้งนี้จะเป็นรุ่นไฟร์บอลที่มีราคาแสนห้าม่ขาดไม่เกิน
มอเตอร์ไซค์รุ่นนี้ไม่ได้เน้นความแรงหรือความสวยงามแต่ทำมาเพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด เป็นส่วนผสมของมอเตอร์ไซค์ที่ขี่สบายในสไตล์คุยเซอร์ ผสานกับรถใช้งานทั่วๆไป อุปกรณ์ที่ใส่มาให้ไม่ได้เยอะแต่ก็เพียงพอสำหรับการใช้งาน พร้อมเพิ่มความทันสมัยเข้าไปในบางจุดอย่างไฟท้ายก็จะเป็นแบบ LED
ถังน้ำมันทรงมะละกอฝาปิดถังน้ำมันมาพร้อมฝาปิดตัวล็อค พื้นที่บนถังน้ำมันมีมากพอสำหรับการแปะกระเป๋าที่มีแถบแม่เหล็กติดไว้ได้ ส่วนช่วงรอยต่อกับเบาะนั่งก็จะมีความโค้งมนลาดต่ำกำลังดีไม่รู้สึกถึงความร้อนที่ปล่อยออกมาจากเครื่องยนต์
เบาะนั่งแยกส่วนระหว่างคนขับกับคนซ้อน เบาะคนขับจะเป็นทรงใบบัวที่อยู่ในระดับต่ำทำให้เวลาจอดนิ่งๆสามารถวางเท้าทั้งสองฝั่งได้เต็มฝ่าเท้า เมื่อต้องขับขี่นานๆจะไม่ค่อยเมื่อย ส่วนเบาะคนซ้อนจะยกสูงเพื่อจะได้มองข้างหน้าได้ชัดเจนขึ้น
ในรุ่นต่ำสุดนี้จะได้แค่ราวข้างๆไว้จับไม่มีพนักพิงสำหรับคนซ้อนมาให้ ส่วนข้างๆจะเป็นสติ๊กเกอร์แปะไว้บอกชื่อรถและชื่อรุ่นแต่ก็ดูดีไม่ลิเกเกินไป พักเท้าจะวางค่อนไปทางข้างหน้าทำให้ได้ท่านั่งคล้ายๆกับนั่งบนเก้าอี้
สำหรับมาตรวัดมีมาให้ 2 จอโดยจอแรกจะเป็นวงกลมใหญ่อยู่ทางด้านซ้ายจะผสมกันระหว่างมาตรวัดความเร็วแบบอนาล็อกที่บอกทั้งกิโลเมตรและไมล์ ส่วนตรงกลางจะเป็นดิจิตอลบอกระดับน้ำมัน ตำแหน่งเกียร์และระยะทาง ส่วนขวามือจอเล็กจะเป็นนาฬิกา ถ้าใครอยากได้ช่องเสียบ USB เพิ่มก็ต้องสั่งเพิ่ม
หลังทนฟังเสียงบ่นจากผู้ใช้ Royal Enfield รุ่นเก่าๆว่าเครื่องยนต์สั่นมา 6-7 ปีทางวิศวกรจึงออกแบบเครื่องยนต์ใหม่ใส่บาลานซ์ชาร์ฟเพิ่มเข้าไปทำให้ไม่สั่นเหมือนเมื่อก่อน เป็นเครื่องยนต์ขนาด349ซีซีที่ดูแลง่าย ใช้การระบายความร้อนด้วยอากาศท่อไอเสียออกทางด้านขวา ให้กำลังสูงสุด 22.2 แรงม้า ส่วนแรงบิดสูงสุด 27 นิวตันเมตรที่ 4,000 รอบต่อนาทีใช้การจ่ายน้ำมันแบบไฟฟ้า
ระบบส่งกำลังเป็นเกียร์ 5 สปีดโดยเกียร์ 5 เป็นเกียร์โอเวอร์ไดร์ฟเพื่อความประหยัดน้ำมัน เหตุที่ไม่เป็น 6 เกียร์เพราะโดนกรอบของภาษีที่ต้องผ่านมาตรฐานไอเสียยูโร 4 จึงต้องจำกัดความเร็วไว้ที่ 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมงทำให้มองไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องเพิ่มเกียร์ไปอีก 1 สปีด สำหรับช่วงเดินทางด้วยความเร็วระดับ 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเครื่องยนต์จะตอบสนองดีมาก แรงบิดของเครื่องยนต์มีเยอะในแต่ละเกียร์ แต่จะต้องทำความคุ้นเคยกับคันเปลี่ยนเกียร์ก่อนซึ่งเกียร์จะต้องกดลง 1 แล้วก็เสยขึ้นทั้งหมดแต่ถ้าต้องสอดปลายรองเท้าเสยเกียร์จะติด สะดวกที่สุดคือใช้ปลายเท้ากดคันเกียร์สั้นๆที่อยู่ทางด้านหลังจะทำได้ง่ายกว่า
เป็นการผสมผสานกันระหว่างเก่าและใหม่โดยโคมไฟหน้าจะเป็นทรงกลมแบบคลาสสิค ติดไฟส่องสว่างในเวลากลางวันแบบ LED ส่วนไฟหน้าก็จะเป็นหลอดฮาโลเจน ไฟเลี้ยวจะเป็นสีเหลืองที่ดูย้อนอดีต
ระบบกันสะเทือนหน้าแบบเทเลสโคปิคที่ทนทานขนาด 41 มม. มีระยะยุบ 130 มม. สามารถปรับได้ 6 ระดับและปรับพรีโหลดได้ เมื่อบวกกับแฮนด์ทรงสูงทำให้ดูเหมือนกับการขี่พวกคุยเซอร์ แต่การเกาะถนนจะทำได้ดีกว่ากับการใช้ยาง radial ที่มีหน้าโค้งขนาด 100/90-19 เวลาเข้าโค้งจะทำได้ดีเหมือนพวกเนกเก็ต มั่นใจในการเบรกกับจานเบรคขนาด 300 มม.พร้อม ABS ส่วนล้อก็จะเป็นล้อแม็ก 10 ก้านที่มีแถบสีแดงอยู่ตรงขอบล้อ
ด้านหลังจะเจอท่อไอเสียทรงกระบอกเป็นท่อสแตนเลสแต่เคลือบด้วยสีฝุ่นด้านให้เสียงที่เป็นเอกลักษณ์ ระบบกันสะเทือนหลังเป็นโช๊คอัพคู่ใช้ยางหลังขนาด 140/70 ขอบ 17 พร้อมจานเบรคขนาด 270 มม. มั่นใจในการเบรกกับระบบเบรก ABS แบบ 2 channel ทำให้เมทธีออร์ 350 เป็นมอเตอร์ไซค์ที่มีความคล่องตัว เมื่อเจอรถติดๆก็สามารถมุดเข้าซอกได้ง่ายหรือจะใช้เดินทางไกลข้ามจังหวัดก็ไม่มีปัญหาเพราะรถรุ่นนี้เน้นความอึดความทนสำหรับการเป็นรถใช้งานอยู่แล้ว