ถือเป็นเป้าหมายหลักในการทำตลาดของนิสสัน คิกส์ในเมืองไทยซึ่งรุ่นแรกอาจจะตอบโจทย์ได้ไม่เต็มที่นักในเรื่องของขุมพลัง E -Power ที่ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าแล้วใช้เครื่องยนต์ทำหน้าที่เป็นตัวปั่นไฟเพียงอย่างเดียวก็จะได้พละกำลังแบบเดียวกับพวกรถไฟฟ้าล้วนมาใช้งาน
ความแตกต่างจากรถยนต์ไฮบริดคือระบบขับเคลื่อนจากมอเตอร์ไฟฟ้าล้วนๆจึงต้องมีมอเตอร์ขนาดใหญ่พอๆกับพวกรถ EV แต่ไม่ต้องกังวลเรื่องของการชาร์จไฟเพราะมีเครื่องยนต์ทำหน้าที่สร้างกระแสไฟให้ตลอดเวลาอยู่แล้ว การเดินทางไกลจึงหมดห่วงเรื่องจุดชาร์จไฟแบบรถไฟฟ้าทั่วๆไป
แม้ว่าตัวรถจะมีการปรับปรุงไม่มากนักเพราะของเก่านั้นดีอยู่แล้วโดยเฉพาะพวกไฟที่เป็นแบบ full LED มาใช้งานทั้งไฟหน้าไฟตัดหมอก รวมถึงไฟส่องสว่างในเวลากลางวันที่ให้มาถึง 10 W ส่วนที่เพิ่มเข้ามาก็จะเป็นพวกชุดไฟท้ายที่มีทับทิมเชื่อมต่อจากไฟท้ายทั้งด้านซ้ายและขวาเข้าด้วยกัน
จุดหลักๆที่มีการปรับเปลี่ยนคือขุมพลังซึ่งแตกต่างไปจากตัวแรก อีกทั้งยังใช้ร่วมกันไม่ได้อีกต่างหากกับเทคโนโลยี E- Power Generation ที่ 2 โดยการรวมเอาเครื่องแปลงกระแสไฟหรืออินเวอร์เตอร์รวมเข้าเป็นชุดเดียวกันกับมอเตอร์ไฟฟ้า ทำให้ Inverter มีขนาดเล็กลง 40% น้ำหนักเบาลง 30% ส่วนที่เรียกร้องกันมากในรุ่นแรกคือเรื่องของขนาดแบตเตอรี่นิสสันคลิกใหม่มีการเพิ่มความจุของแบตเตอรี่แบบ lithium ion ให้มากขึ้นจาก 1.57 kWhเป็น 2.06 kWhและมีการเพิ่มจาก 80 เซลล์เป็น 96 เซลล์ทำให้เครื่องยนต์ไม่ต้องทำงานปั่นกระแสไฟฟ้าบ่อยแบบรุ่นแรก จึงลดแรงสั่นสะเทือนและเสียงรบกวนจากการสตาร์ทของเครื่องยนต์ได้มากขึ้น
ในรถรุ่นนี้ยังคงมีเครื่องยนต์เหมือนเดิมแต่กำลังเพิ่มขึ้นอีกหน่อยนึงเป็นเครื่องยนต์ HR12DE ขนาด 1.2 ลิตร 3 สูบเรียง DOHC 12 วาล์วให้กำลังสูงสุด 82 แรงม้าที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 103 นิ้วตันเมตรที่ 4,000 รอบต่อนาที โดยเครื่องยนต์มีหน้าที่ปั่นกระแสไฟฟ้าส่งไปยังมอเตอร์และชาร์จไฟเก็บไว้ในแบตเตอรี่
ตัวขับเคลื่อนหลักจะเป็นมอเตอร์ไฟฟ้า E47 ซึ่งจะมีกำลังเพิ่มขึ้นจาก 129 แรงม้าเป็น 136 แรงม้าที่ 3,410 -9,697 รอบต่อนาทีแรงบิดเพิ่มขึ้นจาก 260 นิวตันเมตรเป็น 280 นิวตันเมตรที่ 0 -3,410 รอบต่อนาที การเพิ่มกำลังให้กับมอเตอร์และเพิ่มความจุแบตเตอรี่ทำให้นิสสัน คิกส์ ใหม่ขับสนุกขึ้นได้อัตราเร่งที่มารวดเร็วขึ้นโดยมีอัตราบริโภคพอๆกับของเดิม
สำหรับนิสสัน คิกส์ ใหม่จะมีรุ่นออเทคที่แต่งมาจากโรงงานเพิ่มเข้ามา แต่รุ่นที่ได้ขับจะเป็น VL ซึ่งเป็นตัว Top สุดในรุ่นปกติโดยมีการปรับปรุงในเรื่องของเกียร์ที่เปลี่ยนจากหัวเกียร์ธรรมดามาเป็นจอยสติ๊กทำให้การเปลี่ยนเกียร์ไม่ต้องดึงแล้วโยกอีกต่อไปแค่ใช้การดึงขึ้นหรือลงก็พอ ส่วนการจอดก็แค่กดปุ่มตัว P บนคันเกียร์ได้เลย
ในรถรุ่นนี้จะเปลี่ยนจากวันแพดเดิ้ลมาเป็นอีแพดเดิ้ลสเต็ปซึ่งจะใช้กับโหมด Eco และ Sport ข้อดีคือไม่ต้องเหยียบเบรคบ่อยแค่ยกเท้าจากคันเร่ง การชะลอความเร็วของรถก็จะมีมากขึ้นแต่จะปล่อยให้ไหลในช่วงความเร็วต่ำประมาณ 5 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทำให้ผู้โดยสารไม่เมารถแบบรุ่นแรกจากอาการกระตุกของรถ แต่ถ้าใช้ Normal Mode รถจะไหลไม่มีอาการดึงเหมือนกับขับรถทั่วๆไป
ในรถรุ่นนี้ยังมีการย้ายเบรกมือไฟฟ้าและเบรกโฮลไปไว้หน้าคันเกียร์ทำให้มองเห็นง่าย ถ้ากดเบรคโฮลระบบก็จะทำงานตลอดพอหยุดรถรถก็จะไม่เคลื่อนตัว จะตัดการทำงานก็ตอนกดคันเร่งซึ่งจะช่วยในเรื่องของความปลอดภัยได้มากขึ้น
การตกแต่งห้องโดยสารก็จะมีการเพิ่มวัสดุนุ่มมากขึ้น 3 จุดคือที่เท้าแขนตรงคอนโซลกลางขอบเบาะนั่ง โดยมีการเพิ่มพื้นที่วางแก้วน้ำต่อหน้า 2 ตำแหน่งที่สามารถปรับระดับและขนาดให้เหมาะสมกับแก้วด้วยจึงรองรับแก้วทรงสูงที่มีขนาดใหญ่หรือแก้วกาแฟร้อนทรงเตี้ยได้ซึ่งแผ่นรองแก้วยังสามารถถอดเก็บเพื่อวาง iPad mini ได้อย่างสบาย
ชุดแผงคอนโซลจะมีวัสดุนุ่มเสริมเข้ามาสำหรับจอแสดงผลการขับขี่จะเป็นแบบTFT ขนาด 7 นิ้วที่สามารถปรับเปลี่ยนการแสดงผลได้หลายรูปแบบ ส่วนพวงมาลัยก็จะเป็นแบบหุ้มหนังแท้ทรงดีเชฟมาให้ สำหรับจอกลางจะมาพร้อมระบบอินโฟเทนเมนต์ Nissan Connect ซึ่งในรถรุ่นนี้จะรองรับ Android Auto และแอปเปิ้ลคาร์เพลย์แต่จะต้องเสียบสายไม่ได้ใช้เป็นแบบไร้สาย สามารถเชื่อมต่อมือถือผ่านจอเครื่องเสียงระบบสัมผัสขนาด 8 นิ้วมาพร้อมกับลำโพงคุณภาพสูง 6 ตำแหน่ง
เบาะนั่งด้านคนขับสามารถปรับระดับได้ให้เหมาะสมกับสรีระร่างกายของแต่ละคนด้านหลังที่นั่งก็จะมีช่องเก็บของอเนกประสงค์มาให้
ที่นั่งตอนหลังสามารถพับแยก 60 40 หรือพับราบเพื่อให้เหมาะกับการจัดเก็บสัมภาระได้
ห้องเก็บของด้านท้ายมีความกว้างขวางจุสัมภาระได้ถึง 43 ลิตรหรือกระเป๋าเดินทางขนาด 30 นิ้วถึง 2 ใบได้สบายๆและยังสามารถปรับเปลี่ยนการวางสัมภาระได้หลายรูปแบบซึ่งทางนิสสันตั้งราคาเริ่มต้นไว้ที่ 759,000 บาท