เบนท์ลีย์ มอเตอร์ส เผยโฉม New Continental GT Speed สุดยอดแกรนด์ทัวเรอร์โฉมใหม่ เจเนอเรชันที่ 4 หลังจาก 21 ปีแห่งการถือกำเนิดอัครยนตรกรรมตระกูล Continental GT พร้อมกำหนดนิยามใหม่แห่งการผสมผสานสมรรถนะระดับซุปเปอร์คาร์ ความหรูหราในแบบฉบับงานฝีมือ และการตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์แบบเหนือระดับสำหรับการเปิดรับคำสั่งจอง New Continental GT Speed เบนท์ลีย์ แบงค็อก โดย บริษัท เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส จำกัด ผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายรถยนต์เบนท์ลีย์อย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย มอบขอเสนอที่ดีที่สุดสำหรับการสั่งจองรถยนต์เบนท์ลีย์รุ่น New Continental GT Speed ดังนี้:รุ่น New Continental GT Speed ราคาเริ่มต้นที่ 26.9 ล้านบาท รุ่น New Continental GT Convertible Speed ราคาเริ่มต้นที่ 29.5 ล้านบาทโดย บริษัท เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส จำกัด รับเอกสิทธิ์การบริการหลังการขายมาตรฐานโรงงานผู้ผลิตด้วยการรับประกันแบตเตอรี่ไฮบริดที่ ‘นานที่สุด’ ถึง 8 ปี หรือ 160,000 กิโลเมตร (อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน) การรับประกันโดยโรงงานผู้ผลิตและบริการผู้ช่วยเหลือฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมง (24-hour Bentley Roadside Assistance) นาน 3 ปีเต็ม พร้อมรับสิทธิ์การต่อการรับประกันโดยโรงงานผู้ผลิต (Bentley Extended Warranty) สูงสุด 4 ปี
New Continental GT Speed เจเนอเรชันที่ 4 ดำเนินรอยตามดีเอ็นเอการออกแบบอัครยนตรกรรมแบบ 2 ประตูยุคใหม่ด้วยแรงบรรดาลใจจากท่าทางของสัตว์ดุร้ายที่กำลังพักผ่อน เส้นสายของกล้ามเนื้อที่ผ่อนคลาย ความมั่นใจ ความเข้มแข็ง และทรวดทรงของบั้นท้ายที่แข็งแกร่งและความชัดเจนที่บ่งบอกถึงพลังที่ซ่อนอยู่ภายใน โดยภาพที่นักออกแบบของเบนท์ลีย์นึกถึง คือ เสือหมอบที่สงบนิ่งและสุขุม แต่พร้อมที่จะปลดปล่อยพลังอันเหลือเชื่อได้ทุกเวลาเมื่อออกล่า ด้านหน้าของตัวรถได้รับแรงบันดาลใจจากความสง่างามของม้า ซึ่งตอกย้ำความเป็นสุดยอดแกรนด์ทัวเรอร์สุดหรูรุ่นนี้ พร้อมกับฝากระโปรงหน้าแบบทอดยาวตลอดแนวหลังคาที่จะสร้างเส้นแนวนอนที่แข็งแกร่งผ่านตัวรถ บ่งบอกถึงเครื่องยนต์ที่มีสมรรถนะสูงและความเร็วที่แท้จริงตัวรถทั้งคันได้รับการรังสรรค์ขึ้นอย่างหมดจด ด้วยรอยต่อบนพื้นผิวที่น้อยลง ทำให้เผยให้เห็นถึงทรวดทรงและรูปร่างที่ประณีตยิ่งขึ้น ด้านหน้าของตัวรถได้รับการออกแบบใหม่ ตั้งแต่ชุดแต่งตัวถังไปจนถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่สุดในรอบสองทศวรรษที่ผ่านมาสำหรับรุ่น Continental GT นั้นก็คือการตกแต่งด้วยไฟหน้าแบบเดี่ยว ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้รูปลักษณ์ของ Continental GT ใหม่มีการแสดงออกที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้นด้วยแรงบันดาลใจจากการแสดงออกที่ชัดเจนของเสือนักล่า
New Continental GT มาพร้อมกับไฟหน้าในลักษณะ ‘คิ้ว’ แนวนอนใหม่ พร้อมด้วยเอฟเฟกต์เพชรเจียระไนด้านบนกรอบไฟ และหลอดไฟสำหรับการส่องสว่างด้านล่างที่ไฟหน้า LED แบบเมทริกซ์ประกอบไปด้วยไฟ LED แยกกันจำนวนกว่า 120 ดวงที่ได้รับการควบคุมแบบดิจิทัลสำหรับไฟต่ำไปจนถึงการเพิ่มกำลังไฟสูง ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของหลอดไฟโดยที่ลำแสงหลักจะขยายขอบเขตการส่องสว่างให้กว้างมากยิ่งขึ้น และมีการหรี่แสงที่ดีขึ้น ซึ่งทำให้การเปลี่ยนจากบริเวณที่มีแสงสว่างไปยังบริเวณที่ไม่มีแสงสว่างค่อยเป็นค่อยไป การมองถนนเบื้องหน้าจึงมีความเป็นธรรมชาติมากขึ้นและให้ประสบการณ์การขับขี่ที่ผ่อนคลายโดยปราศจาก “หลุมดำ” ในขอบเขตของการมองเห็น
ด้านท้ายตัวรถยังได้รับการออกแบบใหม่ตั้งแต่กันชน ไฟท้าย ฝากระโปรงท้าย และท่อไอเสีย ฝากระโปรงท้ายถูกออกแบบให้มีรูปแบบแอโรไดนามิกเพื่อเสริมแรงกดด้านหลังโดยไม่จำเป็นต้องเปิดใช้สปอยเลอร์ พร้อมกับกันชนที่ได้รับการออกแบบให้ดูโดดเด่นยิ่งขึ้นด้วยการเน้นความกว้างของตัวรถ ในขณะที่ตัวรถยังดูสะอาดตาและมีการตกแต่งที่น้อยลงไฟท้ายมาพร้อมกับการออกแบบใหม่ที่น่าทึ่งด้วยกราฟิกที่กว้างขึ้นทอดยาวไปถึงฝากระโปรงหลัง ขอบไฟยื่นออกมาจากช่องเก็บสัมภาระ พร้อมกับภายในที่ตกแต่งด้วยลวดลายเพชรแบบ 3 มิติทอดยาวตลอดรูปทรง โดยเมื่อส่องสว่าง ส่วนปลายของเพชรจะเห็นได้อย่างเด่นชัด ทำให้เกิดเอฟเฟกต์ภาพเสมือนลาวาหลอมเหลว ล้ออัลลอยด์ขนาด 22 นิ้วใหม่มีการออกแบบที่โดดเด่นด้วยแรงบันดาลใจจากเสือ โดยมี ‘กรงเล็บ’ ของล้ออัลลอยด์ที่จะสัมผัสไปตามพื้นถนน รูปแบบล้ออัลลอยด์แบบใหม่มีให้เลือกทั้งในโทนเฉดสีเข้มแบบมัน-เงา เฉดสีดำเงา หรือเฉดสีเงิน
อัครยนตรกรรมในตระกูล Continental GT มีการตกแต่งภายในที่สวยงามที่สุดในโลก ซึ่งแสดงให้เห็นถึงสุดยอดหัตถศิลป์จากทีมช่างฝีมือมากทักษะ ณ โรงงานเบนท์ลีย์ มอเตอร์ส เมืองครูว์ ประเทศอังกฤษภายในห้องโดยสารของแกรนด์ ทัวเรอร์ โฉมใหม่ตกแต่งด้วยลวดลายการควิลท์ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากการออกแบบแฟชั่นแบบร่วมสมัยบริเวณเบาะโดยสารและประตูห้องโดยสาร และด้วยการแกะสลักงานควิลท์ การปรุสีซีด และการปักควิลท์แบบใหม่ บรรยากาศภายห้องโดยสารจึงเป็นเหมือนสภาพแวดล้อมของรังไหมให้ทุกการเดินทางพิเศษกว่าที่เคย อีกทั้ง การตกแต่งแบบ Dark Chrome จะมอบความสวยงามที่ร่วมสมัยยิ่งขึ้น และทำให้ห้องโดยสารดูมีเอกลักษณ์มากยิ่งขึ้นโดยเฉพาะการตกแต่งในบริเวณมือจับประตู สวิตช์ หน้ากากของลำโพง และพื้นที่บริเวณโดยรอบห้องโดยสาร ซึ่งแผนก Mulliner แผนกออกแบบพิเศษของเบนท์ลีย์ มอเตอร์สสามารถรังสรรค์คุณสมบัติพิเศษที่จะช่วยให้อัครยนตรกรรมรุ่นล่าสุดมีความเฉพาะตัวมากยิ่งขึ้นได้
สำหรับเบาะโดยสารแบบปรับได้ 20 ทิศทางใน Continental GT โฉมใหม่ได้สร้างมาตรฐานใหม่ในกลุ่มยนตรกรรมหรูมาอย่างยาวนานในด้านความสะดวกสบายและความประณีต ซึ่งเบาะโดยสารเพื่อสุขภาพที่มาพร้อมกับระบบปรับท่าทางและระบบปรับอุณหภูมิแบบอัตโนมัติสำหรับเบาะโดยสารคู่หน้านี้จะช่วยลดความเมื่อยล้าและมอบความผ่อนคลายในระหว่างการเดินทาง ระบบไฟหลากสีภายในห้องโดยสาร (Mood Lighting) ยังตกแต่งรอบห้องโดยสารเพื่อสร้างเอฟเฟกต์แบบรังไหม โดยผู้ขับขี่สามารถเลือกเฉดสีของแสงไฟได้กว่า 30 เฉดสี สำหรับการรังสรรค์ New Continental GT ตัวเลือกใหม่สำหรับเฉดสีภายนอกและภายในห้องโดยสารจะถูกเพิ่มเข้าไปในชุดสีเดิมที่หลากหลายอยู่แล้วเพื่อการรังสรรค์อัครยนตรกรรมได้อย่างไร้ข้อจำกัด การแสดงสภาพแวดล้อมบนแผงหน้าปัดสำหรับคนขับสามารถรองรับและเปิดใช้งานการขับขี่ในโหมดกึ่งช่วยเหลือ โดยระบบจะให้ข้อเสนอแนะแก่ผู้ขับขี่ว่าควรจะตอบสนองต่อรถคันอื่นอย่างไร การรับรู้ของตัวรถเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมโดยรอบจะช่วยเสริมกับระบบช่วยจอดอัจฉริยะ ซึ่งเป็นระบบจอดรถด้วยตนเองรุ่นล่าสุดพร้อมด้วยระบบควบคุมความเร็ว อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีที่ล้ำสมัยไม่ได้จำกัดเพียงแค่ในด้านการขับขี่เท่านั้น แต่ระบบปรับอากาศยังได้รับการพัฒนาเพื่อคุณภาพของอากาศภายในห้องโดยสารด้วยเครื่องฟอกอากาศ ตัวกรองอนุภาคแบบใหม่ และจอแสดงผลที่แสดงคุณภาพอากาศทั้งภายนอกและภายในห้องโดยสาร โดยคุณสมบัติด้านความสะดวกสบายเหล่านี้จะทำให้ทุกการเดินทางได้รับประสบการณ์ที่ผ่อนคลายยิ่งขึ้น และสามารถปรับแต่งให้สะท้อนถึงความชอบส่วนตัวของผู้ขับขี่ได้ นอกจากนี้ ระบบของตัวรถยังเชื่อมต่อกับการนำทางด้วย
ระบบเสียงใน Continental GT โฉมใหม่ มีให้เลือก 3 แบบด้วยกันกับระบบเสียงมาตรฐานที่ประกอบไปด้วยลำโพงจำนวน 10 ตัว ขนาด 650 วัตต์ และระบบเสียงจาก Bang & Olufsen ที่ประกอบไปด้วยลำโพงจำนวน 16 ตัว ขนาด 1,500 วัตต์ ตกแต่งด้วยหน้ากากลำโพงเรืองแสงสำหรับลูกค้าที่ชื่นชอบแนวไลฟ์สไตล์ และปิดท้ายด้วยระบบเสียงจาก Naim ขนาด 2,200 วัตต์ พร้อมด้วยลำโพงจำนวน 18 ตัว และเครื่องแปลงความถี่เสียง Active Bass Transducers ที่ติดตั้งอยู่ภายในเบาะโดยสารคู่หน้าและโหมดเสียง 8 โหมดสำหรับผู้ที่หลงรักในเสียงเพลงอย่างแท้จริง ทั้งนี้ กระจกกันเสียงแบบลามิเนตยังติดตั้งสำหรับกระจกบังลมและหน้าต่างด้านข้างเพื่อลดเสียงรบกวนจากภายนอก ซึ่งสามารถลดลงได้ 9 เดซิเบลเมื่อเทียบกับกระจกแบบธรรมดา Continental GT ใหม่ ยังคงนำเสนอนวัตกรรมหน้าจอแสดงผลแบบหมุนได้อันเป็นเอกลักษณ์ของเบนท์ลีย์ ซึ่งเป็นหน้าจอแสดงผล 3 ด้านที่ประกอบด้วยจอแสดงผลระบบสัมผัสความละเอียดสูงขนาด 12.3 นิ้ว หน้าปัดแอนะล็อกสุดคลาสสิก 3 หน้าปัด และด้านที่บุด้วยแผ่นไม้วีเนียร์ที่งดงาม ผู้ขับขี่สามารถเลือกเปลี่ยนทั้ง 3 ด้านได้ด้วยการกดปุ่มเพียงปุ่มเดียว
สำหรับ Continental GT Speed โฉมใหม่ มาพร้อมกับขุมพลังแบบ Ultra Performance Hybrid ใหม่ที่ได้รับการพัฒนา โดยขุมพลังดังกล่าวผสานเครื่องยนต์รุ่น V8 ขนาด 4.0 ลิตรใหม่ที่สามารถผลิตพละกำลังกว่า 600 แรงม้าเข้ากับมอเตอร์ไฟฟ้า พละกำลัง 190 แรงม้า มอบพละกำลังสูงสุด 782 แรงม้า อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร ต่อ ชั่วโมง ใน 3.2 วินาที และความเร็วสูงสุดที่ 335 กิโลเมตร ต่อ ชั่วโมง แรงบิดได้รับการพัฒนาเพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยละ 11 เมื่อเทียบกับ Continental GT Speed ที่ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์รุ่น W12 จาก 900 นิวตันเมตร เป็น 1,000 นิวตันเมตร พละกำลังเพิ่มขึ้นกว่า 19% จาก 659 แรงม้า เป็น 782 แรงม้า ซึ่งทำให้ Continental GT Speed ใหม่เป็นอัครยนตรกรรมเบนท์ลีย์ที่ทรงพลังที่สุดเท่าที่เคยมีมา ซึ่งเหนือกว่ารุ่น Supersports รุ่นที่ 2 และอัครยนตรกรรมออกแบบพิเศษรุ่น Batur สำหรับพละกำลังจะถูกส่งผ่านระบบส่งกำลังแบบคลัตช์คู่ 8 สปีดและเฟืองท้ายแบบไฟฟ้า (eLSD) ไปยังล้อทั้ง 4 เพื่อการจ่ายกำลังที่ยอดเยี่ยมและการยึดเกาะถนนที่มั่นคงที่สุดในทุกสภาพถนน ระบบจะควบคุมการไหลของพลังงานตามโหมดที่เลือก สำหรับโหมดไฟฟ้าจะเป็นการเพิ่มพลังงานไฟฟ้า การเบรกแบบจ่ายพลังงานใหม่ และที่สำคัญที่สุดสำหรับรุ่น Continental GT Speed ใหม่ คือ โหมดชาร์จที่เครื่องยนต์จะขับเคลื่อนล้อและชาร์จแบตเตอรี่ในเวลาเดียวกัน
ขุมพลังใหม่มอบสมรรถนะขั้นสูงสุด ทำให้ Continental GT รุ่นล่าสุดแตกต่างจากยนตรกรรมสปอร์ตหรูรุ่นอื่นๆ ด้วยแรงม้าและแรงบิดที่มากขึ้น พร้อมประสิทธิภาพในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และอัตราการลดการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งอยู่ที่ประมาณหนึ่งในสิบของเครื่องยนต์เบนซินทั่วไป ในทางกลับกัน เครื่องยนต์แบบไฮบริดสมรรถนะสูงจะมอบความสามารถในการขับขี่ที่หลากหลาย ตั้งแต่สมรรถนะขั้นสูงสุดไปจนถึงการขับขี่เงียบสงบด้วยพลังงานไฟฟ้า ผลจากการผสมผสานระหว่างเครื่องยนต์รุ่น V8 และพลังงานไฟฟ้า Continental GT โฉมใหม่จึงสามารถส่งมอบพละกำลังและแรงบิดที่ได้รับการพัฒนาตลอดทุกช่วงรอบ ซึ่งรวมถึงการเสริมพลังงานจากมอเตอร์ไฟฟ้าเพื่อการเร่งความเร็วที่มีเสถียรภาพตั้งแต่ย่านความเร็วต่ำและตลอดช่วงกลาง พร้อมด้วยสมรรถนะที่เพิ่มขึ้นจากเครื่องยนต์รุ่น V8 ที่ย่านความเร็วที่สูงขึ้นสำหรับการขับขี่ในโหมดไฟฟ้า โหมดนี้จะช่วยให้ผู้ขับขี่เพลิดเพลินกับการขับขี่ที่เงียบสงบและต่อเนื่อง โดยในโหมดไฟฟ้าแบบเต็มรูปแบบ มอเตอร์ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวสามารถผลิตพละกำลังได้ 190 แรงม้า แรงบิด 450 นิวตันเมตร ซึ่งผู้ขับขี่สามารถขับขี่ด้วยความเร็วสูงสุด 140 กิโลเมตร ต่อ ชั่วโมง และสามารถชาร์จแบตเตอรี่เต็มได้ภายในเวลาเพียง 2 ชั่วโมงครึ่งด้วยการพัฒนาขั้นสูงของเครื่องชาร์จและความจุของแบตเตอรี่ด้วยกำลังชาร์จสูงสุด 11 กิโลวัตต์
แชสซีที่มีประสิทธิภาพสูง
New Continental GT Speed และ New Continental GTC Speed รุ่นใหม่มาพร้อมกับประสิทธิภาพในการขับขี่จาก Bentley Performance Active Chassis แชสซีใหม่ที่รวมเอาระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบแอคทีฟ เฟืองท้ายแบบไฟฟ้า ระบบบังคับเลี้ยว 4 ล้อ ระบบควบคุมแรงบิดขณะเข้าโค้ง ระบบป้องกันการโคลงตัวด้วยไฟฟ้าขนาด 48 โวลต์ หรือ Bentley Dynamic Ride และซอฟต์แวร์ควบคุม ESC รุ่นใหม่เข้าไว้ด้วยกัน นอกจากนี้ ตัวรถยังได้รับการติดตั้งระบบแดมเปอร์วาล์วคู่ใหม่และถุงลมคู่ ผลลัพธ์ที่ได้ คือ อัครยนตรกรรมสปอร์ตคูเป้รุ่นใหม่ที่ผสมผสานสมรรถนะ ประสิทธิภาพในการควบคุม และความสะดวกสบายเข้าไว้ด้วยกันได้อย่างน่าประทับใจ ความสามารถด้านไดนามิกโดยรวมและประสิทธิภาพในการบังคับเลี้ยวได้รับการพัฒนาให้ดียิ่งขึ้นด้วยการกระจายน้ำหนักที่สมบูรณ์ของรถแบบ 50:50 ซึ่งเป็นผลมาจากการวางตำแหน่งที่มีประสิทธิภาพของแบตเตอรี่ไฮบริด การกระจายน้ำหนักทำให้รถมีความสมดุลระหว่างการขับขี่แบบไดนามิก และช่วยให้สามารถเข้าถึงรูปแบบการขับขี่ได้หลากหลายยิ่งขึ้น และด้วยระบบ ESC ขั้นสูงที่ทำงานอย่างเต็มที่ ทำให้ New Continental GT Speed สามารถควบคุมการยึดเกาะถนนเพื่อยับยั้งการโอเวอร์สเตียร์ นอกจากนี้ ระบบ ESC ยังสามารถปิดได้อย่างสมบูรณ์ เมื่อผู้ขับขี่สามารถปรับท่าทางในการเข้าโค้งของตัวรถให้สมดุลเพื่อให้ได้ประสบการณ์การขับขี่ที่ไดนามิกที่สุดสำหรับระบบแชสซีใหม่จะทำให้การใช้โหมดความสะดวกสบายนั้นสะดวกสบายยิ่งขึ้น และโหมดสปอร์ตก็สามารถควบคุมตัวรถได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น