เดี๋ยวนี้การทำตลาดของค่ายเมอร์เซเดส-เบนซ์ไม่ค่อยจะยุ่งยากมาก ไม่ต้องแตกรุ่นให้ต่างกันมากนักยกตัวอย่างในอดีตถ้าพูดถึงตัวลุยก็ต้องจี-คลาส สบายๆหน่อยก็จ้ะเป็นเอ็มแอล แต่ตอนนี้ไม่มีแล้วแต่จะมีรุ่นขยายจากรถเก๋งแทนอย่างเอส-คลาสก็จะมี GLSแทน ซึ่งรุ่นที่ได้นำมาขับครั้งนี้จะเป็น GLS 350 d 4MATIC AMG Premium ซึ่งเป็นรถยนต์อเนกประสงค์ระดับพรีเมี่ยมของค่าย Mercedes-Benz
ด้วยตัวถังที่ยาวถึง 5,207 มิลลิเมตรเมื่อไม่ต้องมีท้ายไว้ใส่ของแบบรถเก๋งสามารถยืดหลังคาไปได้จนสุดจึงได้รถเอสยูวีแบบ 3 แถว 7 มาใช้งานเมื่อนำมาประกอบในประเทศทำให้ราคาถูกกว่าเอส-คลาสอีกต่างหาก ใครที่ซื้อเมื่อปีที่แล้วจะอยู่ที่ 6.499 ล้านบาท ส่วนราคาในปัจจุบันถูกปรับขึ้นมาเป็น 6.699 ล้าน บาท
รถรุ่นนี้จะมีจุดเด่นอยู่ที่เทคโนโลยีไฟหน้าแบบ MULTIBEAM LED พร้อมระบบไฟสูงแบบ ULTRA RANGE Highbeam ที่สามารถปรับความเข้มของแสงและความยาวของลำแสงได้อิสระจากกัน โดยจะปรับโคมไฟหน้ารถตามการเลี้ยวของพวงมาลัย โดยมีระบบตรวจจับวัตถุที่คำนวณความสว่างอัตโนมัติ ตอนสตาร์ทรถในที่มืดจะเห็นการทำงานของระบบนี้อย่างชัดเจนลำแสงไฟหน้าจะมีการขยับก่อนจะปรับเข้าตำแหน่งปกติ
ยามอยู่ในที่มืดก็จะได้เห็นไฟส่องทางใต้กระจกมองข้าง ที่เป็นสัญลักษณ์ Mercedes-Benzด้วยซึ่งกระจกมองข้างจะใช้การปรับและพับด้วยไฟฟ้า พร้อมระบบบันทึกตำแหน่ง Memory โดยกระจกมองข้าง ด้านคนขับ ปรับลดแสงอัตโนมัติส่วนไฟท้ายจะเป็นแบบ LED
ถึงจะเป็นรถที่ลุยได้แต่ก็จะได้ยางแบบรถยนต์ทางเรียบที่มีหน้ากว้าง 315/40 พร้อมล้ออัลลอยด์น้ำหนักเบาดีไซน์สปอร์ตจาก AMG แบบ 5 ก้านคู่ขนาด 21 นิ้ว
นอกจากนี้ยังมีหลังคาพาโนรามิคซันรูฟ (Panoramic sliding sunroof) ที่เลื่อนเปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้าที่ช่วยเพิ่มสุนทรียะในการขับขี่ โดยจะมีม่านกรองแสงไม่ให้แสงแดดเข้าสู่ห้องโดยสารมากเกินไป
ระบบขุมพลังใช้งานไม่ยุ่งยากกับเครื่องยนต์ดีเซล 6 สูบแถวเรียงรหัส OM656 ขนาด 2,925 ซีซี พร้อมระบบอัดอากาศด้วยเทอร์โบแบบ 2-Stage ที่ให้กำลังสูงสุดถึง 286 แรงม้า ที่ 3,400 – 4,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 600 นิวตันเมตรที่ 1,200-3,200 รอบ/นาที ให้อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 7 วินาที
แม้เครื่องยนต์จะไม่ใหญ่เมื่อเปรียบเทียบกับขนาดของตัวถังแต่ก็ยอมรับถึงพลังที่มีอยู่ เมื่อจับคู่กับระบบส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติแบบ 9G-TRONIC ที่มีก้านเปลี่ยนเกียร์อยู่ตรงคอพวงมาลัยให้การเปลี่ยนเกียร์ทำได้รวดเร็วและนุ่มนวล เรียกอัตราเร่งมาได้แบบทันอกทันใจแบบไม่นึกว่าขับรถคันใหญ่ๆอยู่ อีกทั้งยังประหยัดเชื้อเพลิงกว่า 6.5%
มั่นใจกับการเดินทางแม้จะเจอกับสภาพถนนที่เปียกลื่นอยูก็ตามด้วยระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ “Full time” แบบ 4MATIC ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมรถและการทรงตัวได้ดีบนถนนที่เปียกลื่น รวมถึงการขับขี่บนทางแบบ OFF-ROAD สามารถควบคุมการขับขี่ได้อย่าง มั่นใจ
ก็แน่นอนว่ารถตัวถังขนาดใหญ่แบบนี้คงไม่โดนใจวัยรุ่นแน่นอนการปรับเซ็ตช่วงล่างจึงเน้นความนุ่มนวลตลอดการเดินทางในทุกสภาพถนนด้วยระบบช่วงล่างแบบ AIRMATIC หรือช่วงล่างแบบถุงลมที่คุ้นเคยกันดี ยังเป็นครั้งแรกที่มีฟังก์ชันเตรียมรถเข้าสู่เครื่องล้างอัตโนมัติ โดยจะทำงานอย่างสอดคล้องร่วมกับระบบ AIRMATIC จากการสั่งงานผ่านหน้าจอ media display
ด้วยตัวถังที่ยาวมีระยะฐานล้อที่ยาวขึ้น 60 มิลลิเมตร 3,135 มิลลิเมตรจึงมีพื้นที่ภายในห้องโดยสารที่กว้างและโปร่งสบายขึ้น โดยเฉพาะที่นั่งแถว 2 ที่สามารถปรับด้วยระบบไฟฟ้าพร้อมบันทึกตำแหน่งที่นั่งได้ และยังสามารถปรับเลื่อนเบาะถอยหลังได้ถึง 10 เซนติเมตร เพื่อเพิ่มพื้นที่สำหรับวางขา โดยพนักพิงสามารถปรับเอนได้มากกว่าเดิม
ในห้องโดยสารยังเพิ่มสุนทรียภาพด้วยระบบไฟส่องสว่างแบบ Ambient Light ที่มีให้เลือกถึง 64 สี โดย Mercedes-Benz GLS 350 d 4MATIC AMG Premium ยังมาพร้อมเทคโนโลยีและระบบความปลอดภัยที่ล้ำสมัยมากมาย โดยเฉพาะ Mercedes me connect ที่มีความสามารถในการเชื่อมต่อระหว่างลูกค้าและผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการ โดยทำงานร่วมกับระบบ MBUX (Mercedes-Benz User Experience) ที่ช่วยมอบความสะดวกสบายและความปลอดภัยที่มากขึ้นสำหรับผู้ขับขี่
สำหรับผู้โดยสารแถวที่ 2 จะมาพร้อมหน้าจอเพื่อความบันเทิงแบบ MBUX Rear Seat Entertainment จำนวน 2 จอ ขนาด 11.6 นิ้ว พร้อมระบบควบคุมหน้าจอแบบสัมผัส เพลิดเพลินตลอดการเดินทางด้วยหูฟังแบบ wireless head sets คุณภาพสูงไม่ส่งเสียงรบกวนเพื่อนร่วมเดินทาง
กับตัวรถที่กว้าง 1,956 มิลลิเมตรทำให้ภายในห้องโดยสารมีความโดดเด่นในเรื่องความกว้างขวาง รวมถึงความสะดวกสบายที่มีความหรูหราเช่นเดียวกับรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ตระกูล S-Class แต่เหนือกว่าในการรองรับผู้โดยสารได้สูงสุด 7 คนจากการวางเบาะนั่งได้3แถว ซึ่งได้รับการออกแบบให้มีความกว้างขวางและสะดวกสบายในมาตรฐานเดียวกับ S-Class
เบาะที่นั่งแถวที่ 3 เป็นที่นั่งแบบ full-size รองรับผู้โดยสารที่มีส่วนสูงได้ถึง 194 เซนติเมตร พร้อมระบบ EASY-ENTRY ที่ออกแบบเป็นพิเศษให้เบาะและพนักพิงของที่นั่งแถว 2 สามารถพับขึ้นด้วยระบบไฟฟ้า เพื่อให้เข้าสู่ที่นั่งแถว 3 ได้ง่ายดายขึ้น
พื่นที่ของห้องเก็บของตามปกติก็มีเยอะพอสมควรแต่ถ้าอยากได้เพิ่มเบาะที่นั่งแถวที่ 2 และ 3 ก็สามารถพับได้อย่างอิสระ เพื่อรองรับการใช้งานที่หลากหลายและเพิ่มพื้นที่ความจุสำหรับเก็บสัมภาระได้สูงสุดถึง 2,400 ลิตร ด้วยปุ่มที่อยู่ด้านข้างของพื้นที่เก็บของช่วยตอบสนองทุกความต้องการ ทั้งความหรูหรา ความสะดวกสบาย และความกว้างขวางตามแบบฉบับรถยนต์อเนกประสงค์