หากเป็นเมื่อก่อน Avantgardeถือเป็นท็อปสุดของรุ่นย่อยในรถ Mercedes-Benz แต่พอเป็น E 300 e ตัว Avantgarde กลับกลายเป็นรุ่นเริ่มต้นของเครื่องยนต์เบนซินไปแล้ว โดยรุ่น E 300 e Avantgarde ราคาอยู่ที่ 3,190,000 บาท
เป็นเพราะเดี๋ยวนี้รุ่รรถมีเยอะอีกทั้งคู่แข่งก็ไม่ธรรมดาดังนั้น E 300 e Avantgardeจึงมาพร้อมกับความโดดเด่นในเรื่องสมรรถนะจากเครื่องยนต์ปลั๊กอินไฮบริดผสานกับพลังจากมอเตอร์ไฟฟ้า ควบคู่กับประสิทธิภาพที่ดียิ่งขึ้นของแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออนชนิดใหม่ที่สามารถประจุไฟฟ้าได้มากกว่าเดิม ส่งผลให้ระยะทางสูงสุดสำหรับการขับขี่โดยใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างเดียวเพิ่มขึ้นจากเจนเนอเรชั่นก่อนหน้าถึง 60% และช่วยให้อัตราการประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงในโหมดไฮบริดเพิ่มขึ้นอีกด้วย
ถูกออกแบบภายใต้คอนเซ็ปท์ Sensual Purity ที่สง่างามด้วยกระจังหน้าสีเงินเสริมโครเมียม พร้อมตราสัญลักษณ์เมอร์เซเดส-เบนซ์ มาพร้อมกับไฟหน้าแบบ LED High Performance ที่มีไฟส่องสว่างในเวลากลางวันเป็นท่อนำแสงฝังอยู่ในโคมไฟหน้า
มาพร้อมล้ออัลลอยด์ 5 ก้านคู่ขนาด 18 นิ้ว ซึ่งจะมีลวดลายแตกต่างกันไปในแต่ละรุ่น ด้วยเส้นตัวถังที่โค้งลาดลู่ลมเสริมกรอบหน้าต่างด้วยโครเมี่ยมให้ดูหรูหรา
ด้านท้ายโค้งมนมีขอบฝากระโปรงท้ายยกขึ้นเล็กน้อยเพื่อผลของการไหลเวียนของอากาศ ด้านล่างของกันชนมีปลายท่อไอเสียเสริมโครเมียม 2 ท่อโผล่ออกมา
ภายในมีความความหรูหราและความสะดวกสบายตลอดการเดินทาง ด้วยเบาะนั่งหุ้มหนัง ARTICO โดยเบาะคู่หน้าปรับระดับด้วยระบบไฟฟ้า พร้อมหน่วยความจำสำหรับตำแหน่งที่นั่งพวงมาลัย และกระจกมองข้างพร้อมเพิ่มสุนทรียภาพในการโดยสารด้วยระบบไฟสร้างบรรยากาศในห้องโดยสารที่ปรับสีได้ถึง 64 สีอีกด้วย
เต็มอิ่มกับหน้าจอแสดงผลความละเอียดสูงแบบDigital widescreen cockpit ที่กว้างพิเศษถึง 12.3 นิ้ว สร้างความเพลิดเพลินกับเสียงเพลงด้วยระบบเครื่องเสียง AUDIO 20 NTG 5.5 สะดวกกว่าด้วยระบบชาร์จโทรศัพท์มือถือแบบไร้สาย ควบคุมและตอบสนองทุกความต้องการได้ผ่านปลายนิ้วสัมผัส ด้วยระบบMercedes me connect สามารถเชื่อมต่อรถยนต์เข้ากับสมาร์ทโฟน ในการสั่งการรถยนต์จากระยะไกล เช่น สตาร์ทเครื่องยนต์เพื่อเปิดระบบปรับอากาศหรือล็อค ปลดล็อครถยนต์ พร้อมรายงานข้อมูลรถยนต์อย่างละเอียดและแม่นยำรวมถึงการแสดงตำแหน่งรถยนต์บนมือถือ
พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันหุ้มหนัง nappa ในรุ่น E 300 e Avantgarde เป็นพวงมาลัยนิรภัยแบบวงกลมปกติไม่ได้ตัดด้านล่างตรง พร้อมเพาเวอร์ปรับระดับด้วยระบบไฟฟ้า และปรับน้ำหนักตามความเร็วรถ
เติมเต็มสมรรถนะในการขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี Plug-in Hybridก้าวสู่โลกสีเขียวแห่งอนาคตด้วยยานยนต์ที่ให้พละกำลัง แรงม้าสูง และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบแถวเรียง ความจุกระบอกสูบ 1,991 ซีซี ให้ กำลังสูงถึง 211 แรงม้า ที่ 5,500 รอบ/นาที แรงบิด 350 นิวตันเมตรที่ 1,200 – 4,000 รอบต่อนาที เมื่อผสานพลังกับมอเตอร์ประสิทธิภาพสูง 122 แรงม้า จะทำให้ได้ System Output สูงสุดถึง 320 แรงม้าที่ 4,500 – 5,500 รอบ/นาที และมีแรงบิดถึง 700 นิวตันเมตร มอเตอร์ไฟฟ้าสามารถทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 130 กม./ชม. โดยประมาณ พร้อมทั้งยังประหยัดน้ำมันสูงด้วยการผสานการทำงานอย่างยอดเยี่ยมของเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้า เมื่อรถยนต์ขับเคลื่อนทุกครั้งที่เบรกหรือชะลอความเร็ว ตัวมอเตอร์จะทำหน้าที่เป็นเครื่องปั่นไฟในการดึงพลังงานจลน์ที่เกิดขึ้นเข้าสู่แบตเตอรี่ เพื่อสำรองไว้ใช้ในระบบมอเตอร์ได้ต่อไป ซึ่งด้วยความชาญฉลาดนี้ทำ ให้ได้มาซึ่งความประหยัดสูงสุดช่วยให้การขับขี่ของคุณประหยัดและขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าที่ไปได้ไกลมากขึ้น
รถยนต์รุ่นนี้ใช้แบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออนรุ่นใหม่ที่มีขนาดความจุ 13.5 kWh มากกว่าเดิมถึง 110% ผสานกับประสิทธิภาพของเซลล์แบตเตอรี่ชนิดใหม่ซึ่งมีส่วนผสมของลิเธียม-นิกเกิล-แมงกานีส-โคบอลต์ (Li NMC) ส่งผลให้สามารถชาร์จแบตเตอรี่จากความจุ 10% จนเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ได้ภายในระยะเวลา 5 ชั่วโมง หากชาร์จด้วยเครื่องประจุไฟฟ้าวอลล์ดบอกซ์ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ และใช้กำลังไฟฟ้าสูงสุด
ระบบขับเคลื่อนเป็นเกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะแบบใหม่ (9G-TRONIC)ที่เปลี่ยนเกียร์ได้อย่างนุ่มนวลและราบรื่น ช่วยให้ประหยัดเชื้อเพลิงได้มากยิ่งขึ้น ทำให้การขับเคลื่อนมีความนุ่มนวลและลดเสียงรบกวนได้ดียิ่งขึ้น อีกทั้งยังช่วยให้สามารถลดระดับเกียร์ลงได้หลายระดับในกรณีที่ต้องการเร่งแซงอย่างรวดเร็ว มีระบบปรับรูปแบบการขับขี่ DYNAMIC SELECT ที่ปรับเปลี่ยนรูปแบบการขับขี่ได้เพียงปลายนิ้วสัมผัส เพื่อควบคุมการส่งกำลัง การตอบสนองของพวงมาลัย ระบบปรับอากาศ และฟังก์ชัน Eco Start / Stop เพื่อความประหยัดเชื้อเพลิง ผ่านปุ่ม DYNAMIC SELECT สามารถเลือกได้ 5 รูปแบบการขับขี่ ไม่ว่าจะเป็น โหมด Eco เพื่อประหยัดเชื้อเพลิง โหมด Comfort เพื่อความนุ่มนวลขณะโลดแล่นบนท้องถนน โหมด Sport สำหรับการขับขี่อย่างปราดเปรียว พร้อมพวงมาลัย Direct Steering ตอบสนองทุกจังหวะการขับขี่ หรือเพิ่มอีกระดับความเร้าใจกับโหมด Sport+ มอบสัมผัสแห่งพละกำลังอย่างเต็มที่ และยังสามารถเลือกโหมด Individual ที่สามารถปรับการทำงานของระบบต่างๆ ให้มีความแตกต่างอย่างเป็นอิสระ
รูปแบบการขับขี่ของระบบ Plug-in Hybrid
Hybrid เป็นการทำ งานของเครื่องยนต์ และมอเตอร์ไฟฟ้าร่วมกัน โดยระบบจะประมวลผลอัตโนมัติถึงปัจจัย และรูปแบบ
การขับขี่ ณ ขณะนั้นว่าควรจะใช้เครื่องยนต์หรือมอเตอร์ไฟฟ้าในการขับเคลื่อน ในกรณีที่ปรับเกียร์อัตโนมัติเป็นโหมดสปอร์ต Sหรือ S+ รถยนต์จะขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เท่านั้น เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพของรถสูงสุด
E-MODE สามารถขับเคลื่อนโดยใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างเต็มรูปแบบ (ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว) ได้จนถึงความเร็วสูงสุดโดยประมาณ 130 กม./ ชม. โดยไม่มีการคายไอเสีย (ขึ้นอยู่กับระดับพลังงานของแบตเตอรี่และความเร็วที่ใช้) ทั้งนี้ การทำ งานของระบบนี้สามารถครอบคลุมการใช้งานได้เป็นอย่างดีสำหรับการขับขี่ในเมือง พร้อมด้วยคันเร่งไฟฟ้าแบบ haptic ที่ทำ งาน เมื่อผู้ขับขี่กดแป้นคันเร่งไม่เกินแรงต้านหากกดแป้นคันเร่งเกินแรงต้านเมื่อใดเครื่องยนต์จะเข้ามาทำหน้าที่แทนมอเตอร์ไฟฟ้ในการขับเคลื่อนรถยนต์ทันทีกรณีที่กระแสไฟฟ้าในแบตเตอรี่เหลือประมาณ 10% ซึ่งไม่เพียงพอที่จะขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าระบบจะปรับเข้าสู่โหมด HYBRIDโดยอัตโนมัติ
E-SAVE โหมดการรักษาระดับกระแสไฟฟ้าไว้ใช้งานในเวลาที่ต้องการ เมื่อมีการเลือกโหมดนี้ระบบจะบันทึกระดับกระแสไฟฟ้า ณขณะนั้นว่ามีกระแสไฟฟ้าอยู่ปริมาณเท่าไหร่และจะทำการรักษาระดับกระแสไฟฟ้าไว้โดยจะเป็นการขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เป็นหลัก และใช้มอเตอร์ไฟฟ้าเมื่อจำ เป็นทั้งนี้ผู้ขับขี่สามารถเลือกโหมด E-SAVEได้ เมื่อเห็นว่ากระแสไฟฟ้าในแบตเตอรี่อยู่ในระดับที่ต้องการ เช่น เลือกโหมดE-SAVE เมื่อแบตเตอรี่มีกระแสไฟฟ้า60% ระบบจะบันทึกระดับกระแสไฟฟ้าไว้
และขับเคลื่อนต่อไปด้วยเครื่องยนต์โดยกระแสไฟฟ้าในแบตเตอรี่จะถูกเก็บไว้ในระดับที่ไม่น้อยกว่าตอนที่ผู้ขับขี่เลือกใช้โหมด E-SAVE หรือไม่น้อยกว่า 60%นั่นเอง ซึ่งเมื่อถึงพื้นที่ที่ผู้ขับขี่ต้องการขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า ผู้ขับขี่สามารถเปลี่ยนไปใช้โหมด E-MODE ได้ซึ่งขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าเท่านั้น
CHARGE การทำงานในรูปแบบนี้ รถยนต์จะถูกขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เพียงอย่างเดียว โดยแบตเตอรี่high-volt จะถูกรักษาระดับการชาร์จให้อยู่ในระดับปานกลางในขณะขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ และจะไม่มีการใช้มอเตอร์ไฟฟ้าในการขับเคลื่อนเลย เพื่อให้เกิดการชาร์จกระแสไฟฟ้าเข้าไปเก็บไว้ในแบตเตอรี่high-volt อย่างต่อเนื่อง แรงหมุนของเครื่องยนต์จะถูกนำมาแปลงเป็นพลังงานไฟฟ้าไปสะสมไว้ในแบตเตอรี่ และจะมีการแปลงพลังงานจลน์ที่เกิดจากการชะลอความเร็วหรือการเบรกให้แปรเปลี่ยนเป็นพลังงานไฟฟ้า และเก็บสะสมไว้ในแบตเตอรี่อีกด้วย