เดี๋ยวนี้ค่ายเมอร์เซเดส-เบนซ์ประเทศไทยมีรถให้เลือกที่หลากหลายแม้แต่ในตลาดรถยนต์สมรรถนะสูงก็มีรถยนต์สายพันธุ์แรงรองรับเพื่อไม่ให้น้อยหน้าคู่แข่งสำหรับคนที่ชอบรถแรงแต่อยากสัมผัสธรรมชาติแบบใกล้ชิดได้สัมผัสลมหนาวในช่วงนี้ได้เต็มที่ก็จะมีMercedes-AMG GT C Roadster รถสปอร์ตโรดสเตอร์ที่มีสมรรถนะดีที่สุดในประวัติศาสตร์ของเมอร์เซเดส-เอเอ็มจี มาให้เลือกด้วยราคา 17,190,000 บาท
ถึงจะเป็นรถสปอร์ตเปิดประทุนแต่หน้าตาก็ไม่ต่างจากตัวGT R มากนักด้วยกระจังหน้าแบบ AMG-specific radiator trim เอเอ็มจีที่มีวัสดุบังคับลมชุบโครเมี่ยม 15 ซี่เช่นเดียวกับรถแข่งรุ่น Mercedes-AMG GT 3 ฝากระโปรงหน้ายาวและทรงพลัง ทำให้รถดูกว้างขวาง อีกทั้งยังมีช่องรับอากาศที่กว้าง ช่วยให้อากาศไหลผ่านเข้าสู่ระบบเทอร์โบชาร์จเจอร์ได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งช่องรับอากาศนี้สามารถเปิดหรือปิดตัวเองได้อัตโนมัติ ตามความเร็วของรถยนต์ที่ผู้ขับขี่กำหนดเอง
ฝากระโปรงหน้าเป็นคาร์บอนไฟเบอร์และวัสดุ SMC (Sheet Moulding Compound) ที่ถูกพัฒนาขึ้นเป็นพิเศษโดยทีมงานของ เมอร์เซเดส-เบนซ์ ทีอีซี และผู้เชี่ยวชาญของเอเอ็มจี ทำให้ฝากระโปรงรถมีน้ำหนักเบาแต่ยังคงไว้ซึ่งความทนทานและแข็งแรง
ตัวรถมีการเสริมสปอยเลอร์หลังที่ใหญ่ขึ้นเพื่อรองรับการขับขี่ในสนามแข่งรถยนต์ที่มีช่องทางวิ่งกว้างเนื่องจากความแรงที่ลดลงมายางที่ใช้จะแคบกว่า GT R ส่วนยางที่ใส่มาให้ก็ต่างกันด้วย ขณะที่ล้อหลังถูกปรับให้ใหญ่ขึ้นเพื่อรองรับนวัตกรรมต่างๆ ที่เพลาหลัง และเพิ่มประสิทธิภาพขณะเข้าโค้งและเสริมการยึดเกาะ
หลังคาจะเป็นผ้าใบ3 ชั้นที่มีผิวสัมผัสนุ่ม มีโครงสร้างเป็นโลหะผสมแมกนีเซียมและอะลูมิเนียมที่มีน้ำหนักเบาสามารถกางเปิดหรือเลื่อนปิดได้อัตโนมัติภายในเวลา 11 วินาที และใช้งานได้แม้ขณะรถวิ่งเมื่อใช้ความเร็วไม่เกิน50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
เบาะนั่งจะเป็นเบาะหนัง Nappa ที่วางอยู่ในระดับต่ำเพื่อช่วยโอบกระชับผู้ขับขี่ให้รู้สึกเหมือนกับอยู่ในรถแข่งสามารถสร้างความโดดเด่นให้มากยิ่งขึ้นด้วยชุดเบาะเสริมแบบเอเอ็มจีเพอร์ฟอร์มานซ์ที่สามารถปกป้องร่างกายของผู้ขับขี่และผู้โดยสารทั้งด้านหน้าและด้านหลังได้มากขึ้นด้วยพนักพิงหลังที่มีความโค้งและเสริมด้วยวัสดุเพื่อความนุ่มสบายที่ด้านข้างมากกว่าเบาะที่นั่งแบบมาตรฐาน
พวงมาลัยเอเอ็มจีเพอร์ฟอร์มานซ์หุ้มหนัง Nappa และ เส้นใย DINAMICA Microfibreพร้อมหน้าจอแสดงผลบนพวงมาลัยจำนวน 2 หน้าจอแบบ AMG steering wheel buttonsลงตัวด้วยหน้าจอเรือนไมล์แบบ all-digital instrument display ขนาด 12.3 นิ้ว แผงหน้าปัดกว้างดีไซน์ใหม่ด้วยอัตราส่วนแบบ 16:9 ขนาด 10.15 นิ้ว ทำงานด้วยระบบปฏิบัติการแบบ COMAND Online
แผงควบคุมตรงกลางมีหน้าจอแสดงผลมากถึง 8 จอบริเวณคอนโซลกลางแบบ AMG DRIVE UNIT ที่ออกแบบตามลักษณะเครื่องยนต์แบบ V8 ทำให้ทั้งผู้ขับขี่และผู้โดยสารรู้สึกราวกับถูกโอบล้อมด้วยปีกนก ห้องโดยสารที่สามารถเปลี่ยนสีได้หลากหลายเพื่อเพิ่มสุนทรียะในการขับขี่
ระบบช่วงล่างเอเอ็มจีไรด์คอนโทรลแบบสปอร์ตของทั้ง 4 ล้อมีทั้งปีกนก แกนบังคับเลี้ยวและโครงฐานคุมล้อที่หล่อจากอะลูมิเนียมเพื่อลดน้ำหนักที่ไม่จำเป็น โดยล้อทั้ง 4 จะถูกควบคุมโดยกลไกปีกนกแบบ 2 ชั้น เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการหมุนของล้อ และการเข้าโค้งด้วยความเร็วสูง
Mercedes-AMG GT C Roadster มาพร้อมเครื่องยนต์เบนซิน4 ลิตร V8 ไดเรค อินเจคชั่น เทอร์โบคู่ กำลังสูงสุดโดนลดลงมาเหลือ557 แรงม้าที่ 5,750 – 6,750รอบต่อนาทีแรงบิดสูงสุด680 นิวตันเมตรที่ 2,100-5,500รอบต่อนาทีความเร็วสูงสุด 316 กม. / ชม.อัตราเร่ง0-100กม./ชม.ใช้เวลา 3.7 วินาที
ระบบส่งกำลังเป็นเกียร์แบบคลัทช์คู่ 7 สปีดที่ช่วยทำให้รถมีความคล่องตัวยิ่งขึ้น และการตอบสนองของระบบเกียร์จะดีขึ้นตามจังหวะการเปลี่ยนเกียร์ของผู้ขับขี่ แต่ในเรื่องสมรรถนะคงจะไปเทียบกับGT R ไม่ได้แม้ราคาจะต่างกันเกือบๆล้านแต่นี่มันเป็นรถกินลมชมธรรมชาติ
มั่นใจในการควบคุมรถด้วยระบบ AMG DYNAMIC SELECTผู้ขับขี่สามารถเลือกโหมดของเกียร์หลักได้ 5 แบบ คือ “C” (Comfort) สำหรับการขับขี่ในชีวิตประจำวัน ช่วยให้ผู้ขับขี่รู้สึกผ่อนคลายและสะดวกสบายไม่ต่างไปจากรถใช้งานทั่วๆไป ส่วในสนามหรือถนนโล่งๆก็ต้องเลือก“S” (Sport) และ “S+” (Sport Plus) ที่เน้นความเร้าใจในการขับขี่ให้มากยิ่งขึ้น ส่วน “I” (Individual)จะสามารถช่วย จดจำรูปแบบการขับขี่ของผู้ขับได้ อีกทั้งยังมีโหมด “RACE” ที่เป็นโหมดเสริมสำหรับผู้ขับขี่ที่ต้องการความแรงและเกียร์ที่เปลี่ยนได้รวดเร็วเหมือนอยู่ในสนามแข่งรถ ซึ่งจะมาพร้อมกับ เสียงเครื่องยนต์ที่เร้าอารมณ์
ผู้ขับขี่สามารถสร้างข้อกำหนดทั้งหมดในแต่ละโหมดการขับขี่เองได้ด้วยการกดปุ่ม “M” (Manual) ที่อยู่ตรงกลางแผงควบคุม, ระบบเพลาหลังแบบแอคทีฟที่จะหมุนเพลาล้อคู่หลังไปในทิศทางตรงกันข้ามกับเพลาล้อคู่หน้าเมื่อใช้ความเร็วสูงสุด 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เพื่อช่วยให้เข้าโค้งได้อย่างคล่องตัวมากขึ้น และประหยัดแรงในการหมุนพวงมาลัย แต่หากความเร็วสูงสุดเกิน 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงขึ้นไปทั้งล้อคู่หน้าและหลังจะหมุนไปในทิศทางเดียวกันเพื่อเสริมสมดุลให้กับตัวรถ ทำให้ท้ายรถไม่ปัดเมื่อหักเลี้ยว