ลัมโบร์กินี (Lamborghini) เผยโฉมคอนเซ็ปต์คาร์รุ่น Lanzador ณ งาน Monterey Car Week เพื่อแสดงวิสัยทัศน์อันมุ่งมั่นของแบรนด์ในการผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% แห่งอนาคตเป็นรุ่นที่ 4 โดยคอนเซ็ปต์คาร์ Lanzador นำเสนอรถยนต์กลุ่ม GT ยกสูงพร้อมที่นั่งแบบ 2+2 ภายใต้รูปลักษณ์ที่สวย มีเอกลักษณ์โดดเด่น และชูความเป็นเลิศทางเทคนิคพร้อมแนวคิดใหม่ล่าสุดในแง่สมรรถนะและประสบการณ์การเดินทางที่ไม่เคยมีมาก่อน โดยยังคงไว้ซึ่ง DNA ตามแบบฉบับของลัมโบร์กินีอย่างเด่นชัด มอบภาพลักษณ์แนวสปอร์ตที่ยอดเยี่ยมที่สุดในคลาสพร้อมประสิทธิภาพการขับขี่ที่สนุกเร้าใจคอนเซ็ปต์คาร์รุ่นนี้ผสานสุดยอดสมรรถนะอันเป็นแบบฉบับของรถซูเปอร์สปอร์ตลัมโบร์กินี เข้ากับไลฟ์สไตล์การขับขี่ที่สนุกสนานขั้นสุด บวกกับคุณสมบัติการใช้งานแบบอเนกประสงค์เพื่อให้เป็นรถยนต์ที่สามารถขับขี่ได้ทุกวัน โดย Lanzador จะมอบประสบการณ์การขับขี่ที่แปลกใหม่แก่กลุ่มลูกค้าที่ “ชื่นชอบความล้ำหน้าทางเทคโนโลยี” ซึ่งมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นในปัจจุบัน
ลัมโบร์กินีนำเสนอคอนเซ็ปต์คาร์ที่ไม่ใช่แค่รถ Gran Turismo แบบดั้งเดิม แต่เป็นเทคโนโลยีแห่งอนาคตที่เหนือล้ำกว่ายนตรกรรมทั้งมวลมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงที่ติดตั้งกับเพลาแต่ละตัว จะสร้างความมั่นใจถึงการขับเคลื่อนด้วยพลังไฟฟ้า 100% ได้ตลอดเวลาในทุกสภาวะ พื้นผิว และสไตล์การขับขี่ พร้อมให้กำลังไฟสูงสุดมากกว่าหนึ่งเมกะวัตต์ ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อยังมี active e-torque บนเพลาหลังเพื่อการเข้าโค้งที่เร้าใจแบบไดนามิก ซึ่งได้รับการปรับแต่งมาอย่างประณีตให้เหมาะสำหรับทุกสถานการณ์ พลังงานของตัวรถมาจากแบตเตอรี่ประสิทธิภาพสูงรุ่นใหม่เพื่อการันตีว่าจะสามารถวิ่งได้ระยะทางไกล “การใช้พลังงานไฟฟ้าสำหรับเรา ไม่ได้หมายถึงข้อจำกัด แต่เป็นโอกาสอันชาญฉลาดในการพัฒนาสมรรถนะและขีดความสามารถในการขับขี่ให้สูงขึ้น” มร.รูเว็น โมห์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคนิค ลัมโบร์กินี กล่าว ดังนั้นในการพัฒนายานยนต์ไฟฟ้าของแบรนด์จึงไม่มีการลดประสิทธิภาพในแง่ของกำลังเครื่อง ความรื่นรมย์ในการเดินทาง และประสิทธิภาพการขับขี่ และนี่คือรถยนต์ลัมโบร์กินีพลังงานไฟฟ้า 100% ที่นักขับสามารถใช้งานได้ทุกวันอย่างเพลิดเพลินนักขับสามารถปรับแต่งระบบทั้งหมดได้ในขณะขับขี่ผ่านอุปกรณ์ควบคุมบนพวงมาลัยแบบสปอร์ต จึงควบคุมจังหวะการเคลื่อนไหวของรถได้อย่างฉับไวและสร้างสรรค์คาแรกเตอร์การขับขี่ได้ในแบบเฉพาะตัว
ระบบอากาศพลศาสตร์อัจฉริยะที่พัฒนาขึ้นใหม่ได้แรงบันดาลใจมาจากรถซูเปอร์สปอร์ตลัมโบร์กินีรุ่นต่าง ๆ โดยได้รวมเอาระบบ ALA (Aerodinamica Lamborghini Attiva) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่รู้จักกันดีในรุ่น Huracán Performante และ Aventador SVJ ร่วมกับการติดตั้งอุปกรณ์พลศาสตร์แบบใหม่ทั้งด้านหน้าและหลังเพื่อสร้างความมั่นใจถึงประสิทธิภาพสูงสุดของคอนเซ็ปต์คาร์เมื่อวิ่งในโหมด Urban และมอบแรงกดที่ดีที่สุดในโหมด Performance โดยวิสัยทัศน์แห่งอนาคตในระบบ ALA ของลัมโบร์กินีซึ่งถูกใช้ในการพัฒนาดิฟฟิวเซอร์ ถือเป็นบทพิสูจน์แห่งการปรับปรุงประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่องของฝ่ายวิจัยและพัฒนาของบริษัท เพื่อมอบสุดยอดประสิทธิภาพแห่งการพุ่งทะยานและการเพิ่มระยะทางการขับขี่ให้ไกลที่สุดระบบอากาศพลศาสตร์แบบแอ็กทีฟใช้ม่านอากาศด้านหน้าและสปลิตเตอร์แบบปรับได้ ซึ่งเมื่อเปิดทำงานจะช่วยเปิดท่อระบายความร้อนของเบรกและใบพัดระบายความร้อนเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด โดยเมื่อท่อ S-Duct ทำงานร่วมกับบานเกล็ดด้านในเพื่อการระบายอากาศในซุ้มล้อพร้อมกับม่านอากาศ ก็จะช่วยเพิ่มแรงกดได้มากขึ้น โดยขึ้นอยู่กับโหมดที่ตั้งค่าไว้ว่าเป็นแบบ Efficient หรือ Downforce และด้วยการใช้ช่องระบายอากาศทำให้สามารถป้องกันแรงดันในซุ้มล้อจากการที่ส่วนหน้าของรถอาจยกตัวขึ้นเมื่อวิ่งด้วยความเร็วสูง ส่วนบานเกล็ดด้านในยังช่วยสร้างแรงกดโดยไม่เพิ่มแรงฉุด สำหรับการใช้ล้อขนาด 23 นิ้ว นักออกแบบได้ผสานองค์ประกอบหกเหลี่ยมในใบพัดระบายอากาศเพื่อลดการผันผวนของกระแสลมบริเวณล้อ
สำหรับส่วนท้ายของรถ ใบพัดระบายอากาศจะสามารถขยายออกด้านข้างและออกจากส่วนดิฟฟิวเซอร์เพื่อเพิ่มแรงกดอากาศร่วมกับสปอยเลอร์หลัง ซึ่งจะขึ้นอยู่กับโหมดการขับขี่ที่ตั้งไว้ โดยในโหมด Efficient การไหลของอากาศจะปะทะกับตัวรถตลอดความยาวของตัวถังด้านนอก จนกระทั่งกระจายออกด้านหลังตามแนวลมที่กำหนดไว้ และระบบ ALA จะทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพเพื่อเพิ่มแรงดันกลับคืนสู่ด้านหลัง ซึ่งจะช่วยลดแรงฉุดและเพิ่มประสิทธิภาพการขับขี่ได้อย่างมีนัยสำคัญด้วยการใช้โครงแชสซีแบบแอ็กทีฟ รวมถึงเพลาหลังแบบปรับได้และระบบถุงลมกันสะเทือน ทำให้ Lanzador สามารถปรับแต่งคุณสมบัติของตัวเองให้สอดคล้องกับทุกสภาพถนนได้อย่างยอดเยี่ยม หรือทำงานตามรูปแบบที่นักขับตั้งค่าไว้ โดยสามารถปรับค่าต่าง ๆ ได้อย่างฉับไวระหว่างการเดินทาง ผ่านอุปกรณ์ควบคุมบนพวงมาลัย
ข้อได้เปรียบที่สำคัญของรถสปอร์ตพลังไฟฟ้าแบบสองมอเตอร์ คือการกระจายแรงบิดที่แม่นยำเพื่อเพิ่มไดนามิกส์การขับขี่ โดยแนวคิดของลัมโบร์กินี ระบบควบคุมจะคอยคำนวณแรงบิดที่จำเป็นหรือที่ต้องการสำหรับเพลาแต่ละชิ้นอย่างรวดเร็วในหน่วยเวลาเป็นมิลลิวินาที ซึ่งมอเตอร์ทั้งสองตัวจะจำแนกความแตกต่างและสนับสนุนการทำงานของเพลาหลังทั้งในด้านซ้ายและขวาอย่างเหมาะสมด้วยการใช้ระบบควบคุมความเร็วล้อ ทำให้ลัมโบร์กินีสามารถควบคุมกำลังและแรงกระทำกับแต่ละล้อได้อย่างละเอียดเพื่อการเลี้ยวเข้าที่แม่นยำมากขึ้น รวมถึงการขับทางตรงและการใช้ความเร็วบนถนนที่คดเคี้ยว โดยยังสามารถใช้อัตราเร่งที่เร็วแรงเต็มสปีด
แบรนด์ลัมโบร์กินีคือ DNA แห่งการออกแบบอันเปี่ยมเอกลักษณ์ที่น่าจดจำอย่างแท้จริง ผ่านการนำเส้นสายสุดไอคอนิกมาตีความเป็นวิสัยทัศน์และแนวทางล้ำหน้าสู่อนาคตการเปิดตัว Lanzador จึงแสดงให้เห็นว่าให้ลัมโบร์กินีกำลังเดินหน้าสู่อนาคตอย่างเต็มรูปแบบ โดยคอนเซ็ปต์คาร์รุ่นนี้ได้มอบสัดส่วนใหม่และยังเป็นตัวแทนของรถยนต์กลุ่มใหม่ของแบรนด์นั่นคือ Ultra GT ซึ่งไม่เพียงเห็นได้จากรูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้น แต่ยังรวมถึงนวัตกรรมภายใน ซึ่งนำเสนอประสบการณ์ใหม่ของลัมโบร์กินีทั้งในแง่ของพื้นที่ใช้สอยของห้องโดยสารและบรรยากาศที่กว้างขวางสะดวกสบาย
การออกแบบคอนเซ็ปต์คาร์ GT นี้ได้แรงบันดาลใจมาจากอากาศยาน โดย มร.มิตจา โบร์เคิร์ต ผู้อำนวยการฝ่ายการออกแบบของ Centro Stile ซึ่งทำงานให้กับลัมโบร์กินี อธิบายถึงจุดเริ่มต้นของกระบวนการออกแบบว่ามาจากรถซูเปอร์สปอร์ต หากต่อยอดไปสู่การวางตำแหน่งของนักขับอย่างเหมาะสม โดยได้แรงบันดาลใจมาจากรุ่น Huracan Sterrato การออกแบบภายนอกให้ความรู้สึกบึกบึนห้าวหาญและเหนือล้ำทุกความคาดหมาย ด้วยเส้นสายที่เรียบง่ายและสะอาดตาซึ่งถือเป็นแบบฉบับของลัมโบร์กินีอย่างแท้จริง และยังเต็มไปด้วยความหนักแน่นซึ่งได้แรงบันดาลใจจากรถยนต์ลัมโบร์กินีรุ่นตำนานอย่าง Sesto Elemento, Murciélago และ Countach LPI 800-4 รูปลักษณ์ด้านข้างใช้เส้นสายที่เรียบง่ายในแบบฉบับลัมโบร์กินี ผสานกับโครงสร้างสถาปัตยกรรมเฉพาะตัวที่พัฒนาขึ้นสำหรับคอนเซ็ปต์คาร์โดยเฉพาะ โดยมีการออกแบบความลาดเอียงของห้องโดยสารอย่างชัดเจนจากทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ในขณะเดียวกัน ดีไซน์ส่วนล่างของตัวรถยังได้รับการออกแบบตามหลักอากาศพลศาสตร์อันชาญฉลาด โดยผสานเข้ากับองค์ประกอบสุดล้ำที่ขยับได้ดังเช่นที่พบในรถซูเปอร์สปอร์ตของลัมโบร์กินีหลายรุ่น และด้วยความสูงสุดของหลังคาเพียง 1.5 เมตร ทำให้รถยนต์ Grand Turismo พลังไฟฟ้ารุ่นนี้โหลดต่ำเข้าใกล้พื้นถนนได้อย่างทรงพลัง มอบความประทับใจด้วยระดับการโหลดต่ำอย่างที่ไม่มีรุ่นใดเปรียบได้ ซึ่งเกิดจากรูปทรงที่พุ่งไปข้างหน้าของห้องโดยสารและเส้นสายไดนามิกที่คมชัดตลอดทั้งตัวรถ
การออกแบบรายละเอียดต่าง ๆ ของคอนเซ็ปต์คาร์แห่งอนาคตนี้เต็มไปด้วยความละเอียดอ่อน และสะท้อนถึงลักษณะเฉพาะตัว อาทิ ดีไซน์ไฟหน้าที่เพรียวบางได้แรงบันดาลใจมาจากรุ่น Countach LPI 800-4 ในขณะที่ไฟท้ายทรงหกเหลี่ยมรวมถึงรูปแบบแสงอันเปี่ยมด้วยเอกลักษณ์ถูกตกแต่งด้วยองค์ประกอบไฟ LED สามดวงบนตัวรถแต่ละด้าน นอกจากนี้ ดีไซน์ไฟรูปตัว Y และองค์ระกอบรูปหกเหลี่ยมซึ่งเป็นลักษณะเด่นของการออกแบบรถยนต์ลัมโบร์กินีก็สามารถพบเห็นได้ทั่วทั้งตัวรถ รวมถึงไฟท้ายและห้องโดยสารภายในเช่นกัน
ดีไซน์ห้องโดยสารสอดคล้องกับปรัชญาการออกแบบ “Feel like a pilot’” ของลัมโบร์กินีอย่างโดดเด่น ผสานกับแนวคิดของอากาศยานผ่านแนวคิดรถยนต์ 2+2 GT แต่ก้าวหน้าไปอีกขั้นด้วยการใช้แนวคิดที่นั่ง 2+2 ในแบบฉบับไลฟ์สไตล์ ห้องโดยสารส่วนหลังยังสามารถใช้บรรทุกสัมภาระได้ ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์กีฬาหรือกระเป๋าเดินทางทุกรูปแบบช่องใส่สัมภาระถูกซ่อนไว้ใต้ฝากระโปรงหน้าที่สั้นและลาดเอียง ส่วนประตูท้ายกระจกขนาดใหญ่สามารถเปิดออกกว้าง เบาะนั่งด้านหลังและช่องเก็บสัมภาระหลังที่ปรับได้ยังทำให้คอนเซ็ปต์คาร์รุ่นนี้สามารถประยุกต์ใช้งานกับทุกสถานการณ์ในชีวิตประจำวัน
ตำแหน่งนักขับในห้องโดยสารยังถูกกำหนดโดยแผงหน้าปัดที่เพรียวบางน้ำหนักเบา ซึ่งใช้องค์ประกอบการออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ เช่น รูปตัว Y ขนาดใหญ่ในส่วนเชื่อมคอนโซลกลาง และด้วยคุณสมบัติการใช้งานแบบอเนกประสงค์ในชีวิตประจำวัน รวมกับประสิทธิภาพและตำแหน่งที่นั่งแบบรถยนต์ซูเปอร์สปอร์ต ทำให้หัวหน้าฝ่ายออกแบบ มิตจา โบร์เคิร์ต มีอิสระในการตกแต่งเพื่อสร้างบรรยากาศที่กว้างขวาง สะดวกสบายอย่างคาดไม่ถึง ซึ่งเกิดจากการใช้ระบบพลังงานไฟฟ้าเต็มรูปแบบกับรถยนต์รุ่นนี้
ที่นั่งคนขับและข้างคนขับจะอยู่ระดับต่ำเหมือนกับในเครื่องบินเจ็ต คั่นด้วยคอนโซลกลางที่เชื่อมต่อมุมมองกับแผงหน้าปัด ส่วนแผงควบคุมระบบความบันเทิง ระบบปรับอากาศ และฟังก์ชันดิจิทัลรุ่นใหม่ จะติดตั้งอยู่บนคอนโซลกลางในระยะที่คนขับเอื้อมถึงตามตำแหน่งที่เหมาะสมตามหลักสรีรศาสตร์ ส่วนผู้โดยสารจะสามารถดูข้อมูลผ่านหน้าจอที่หดซ่อนได้อัตโนมัติ และเมื่อใช้ระบบการควบคุมแบบ Lamborghini ANIMA คนขับจะสามารถสลับโหมดการขับขี่แบบต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงแบบ Efficiency และ Performance เพื่อให้ได้ไดนามิกส์การขับขี่ที่ดีที่สุดตามต้องการคอนเซ็ปต์คาร์รุ่นนี้ทำสีด้วย Liquid color ที่ออกแบบและพัฒนาขึ้นโดยเฉพาะสำหรับการเปิดตัวรถยนต์ในงาน Monterey Car Week ซึ่งเป็นสีใหม่ที่สวยงามทันสมัยในชื่อ Azzurro Abissale
งานตกแต่งภายในใช้วัสดุที่ยั่งยืนซึ่งผลิตในอิตาลีเกือบทั้งหมด บริเวณแผงหน้าปัด เบาะนั่ง และแผงประตู ได้รับการตกแต่งด้วยผ้าขนแกะเมอริโนคุณภาพสูง (จากบริษัทสัญชาติอิตาลีที่ผ่านมาตรฐาน B Certified) ส่วนด้ายย้อมสีทำจากวัสดุรีไซเคิล ทั้งไนลอน/พลาสติกรีไซเคิล รวมถึงวัสดุที่ไม่ใช่พลาสติกอีกหลายชนิด เช่น โฟมในส่วนเบาะนั่งแนวสปอร์ตทำจากเส้นใยรีไซเคิลซึ่งผลิตด้วยกรรมวิธีการพิมพ์ 3 มิติ แม้แต่เส้นใยคาร์บอนที่นำมาใช้ร่วมกันในหลายส่วน เช่นคอนโซลกลางและแผงประตู ก็ทำมาจากคาร์บอนแบบผลิตซ้ำซึ่งเป็นวัสดุคอมโพสิตสองชั้นแบบใหม่