บีเอ็มดับเบิลยู XM Label Red รถยนต์รุ่นเรือธงรุ่นนี้รวบรวมเอาที่สุดแห่งขุมพลัง ความพิเศษ และความหรูหรา เพื่อมอบประสบการณ์การขับขี่ที่เร้าใจและทรงพลังแบบไม่เหมือนใคร และยังเป็นรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู M รุ่นทรงพลังที่สุดเท่าที่เคยมีมา ก้าวข้ามขีดจำกัดและสร้างนิยามใหม่ให้กับการขับขี่ด้วยพลังงานไฟฟ้าจากระบบปลั๊กอินไฮบริดสมรรถนะสูง โดยผลิตมาในจำนวนจำกัดทั่วโลกเพียง 500 คัน ซึ่งภายในตัวรถจะมีเลขระบุ “1/500” อยู่บริเวณด้านล่างของจอ Control Display บีเอ็มดับเบิลยู XM Label Red ยังได้รับการรังสรรค์ขึ้นอย่างพิถีพิถันเพื่อตอบสนองผู้ที่มีไลฟ์สไตล์แบบเปิดเผย ชอบการเดินทาง และหลงใหลรถยนต์ซึ่งเปี่ยมด้วยสมรรถนะที่โดดเด่นเหนือขอบเขตเดิม ๆ
สัดส่วนที่ล่ำสันของรถยนต์สปอร์ตอเนกประสงค์หรือ Sports Activity Vehicle (SAV) แบบมีพลวัตร ผสมผสานกับการออกแบบภายนอกที่โดดเด่น ลายเส้นที่ชัดเจน รวมถึงรูปลักษณ์ส่วนหน้าที่มีมาเฉพาะในรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูใน Luxury Class การผสมผสานที่ลงตัวยิ่งขึ้นไปอีกขั้น คือการออกแบบที่เน้นย้ำคุณลักษณะเฉพาะของบีเอ็มดับเบิลยู XM Label Red ในฐานะรถยนต์ที่มุ่งเน้นการบรรลุขีดสุดแห่งสมรรถนะ
ไฮไลท์ที่โดดเด่นคือสีตัวถังภายนอกสีดำ BMW Individual Frozen Carbon Black Metallic กระจังหน้าทรงไตคู่ตามแบบฉบับบีเอ็มดับเบิลยู M พร้อมขอบสองชั้นรูปทรงแปดเหลี่ยมที่ด้านหน้ามาในรูปทรงแนวนอนอันโดดเด่น ซึ่งเป็นจุดเด่นของรถสปอร์ตสมรรถนะสูงจากบีเอ็มดับเบิลยู M ขอบด้านนอกของกระจังหน้าทรงไตคู่แต่ละข้างยังตกแต่งด้วยสีแดง Toronto Red metallic ในขณะที่ขอบด้านในมากับไฟรูปทรงโค้งมนเป็นวงแหวนไฟที่ให้แสงอย่างคมชัดและต่อเนื่อง แถบเน้นสีมันวาวตัดกับพื้นผิวสีแบบด้านซึ่งส่องแสงระยิบระยับทำให้ภายนอกของบีเอ็มดับเบิลยู XM Label Red มีลักษณะที่น่าดึงดูดใจเป็นพิเศษ
บีเอ็มดับเบิลยู XM Label Red ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เบนซินแบบ V8 พร้อมเทคโนโลยี M TwinPower Turbo อันล้ำสมัย และระบบขับเคลื่อน M HYBRID ซึ่งให้กําลังรวมสูงสุด 550 กิโลวัตต์/ 748 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 1,000 นิวตันเมตร เครื่องยนต์สันดาปยังให้กำลังเครื่องยนต์สูงสุด 430 กิโลวัตต์/585 แรงม้า ที่ 5,600 – 6,500 รอบต่อนาที พร้อมแรงบิดสูงสุด 750 รอบต่อนาที ที่ 1,800 – 5,400 รอบต่อนาที ส่วนระบบขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าให้กำลังมอเตอร์สูงสุดที่ 145 กิโลวัตต์/197 แรงม้า พร้อมแรงบิดมอเตอร์ไฟฟ้าสูงสุด 280 นิวตันเมตร นอกเหนือจากการจ่ายกำลังไฟฟ้าในระหว่างการเร่งความเร็วแล้ว มอเตอร์ไฟฟ้ายังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องยนต์สันดาป โดยบีเอ็มดับเบิลยู XM Label Red สามารถเร่งความเร็วจาก 0 ถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ได้ในเวลา 3.8 วินาที
ระบบขับเคลื่อนอัจฉริยะ 4 ล้อ M xDrive ช่วยถ่ายทอดกำลังที่เกิดจากเครื่องยนต์สันดาปและมอเตอร์ไฟฟ้าไปที่ล้อทั้งสี่ได้อย่างแม่นยำ รวดเร็ว และตรงตามความต้องการใช้งานตลอดเวลา ระบบเฟืองท้าย M Sport ยังช่วยเสริมสมรรถนะของรถด้วยการกระจายกำลังขับเคลื่อนระหว่างล้อหลัง ช่วยให้ตัวรถยึดเกาะถนนได้ดียิ่งขึ้น พร้อมเสริมเสถียรภาพการขับขี่ในสถานการณ์ต่าง ๆ ในขณะเดียวกัน ช่วงล่างแบบ Adaptive M Suspension Professional มอบการควบคุมแบบสปอร์ตโดยไม่ลดทอนความสะดวกสบายของผู้ขับขี่ นอกจากนี้ ระบบช่วยการขับขี่รุ่น Professional ยังมาพร้อมระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ พร้อมฟังก์ชั่นStop&Goไม่เพียงแต่ช่วยรักษาความเร็วของรถในระดับที่ต้องการและคงระยะห่างจากรถคันหน้าให้สม่ำเสมอเท่านั้น แต่ยังช่วยให้รถยนต์อยู่ในเส้นทางอย่างคงที่ด้วยระบบบังคับพวงมาลัย เพื่อความสะดวกสบายที่เหนือกว่า ระบบช่วยนำรถเข้าที่จอดอัตโนมัติ รุ่น Plus ยังช่วยให้การจอดรถและการบังคับรถทำได้ง่ายขึ้นอีกด้วย
โทนสีดำและแดงยังนำรูปลักษณ์ที่น่าดึงดูดและกลิ่นอายแบบสปอร์ตมาสู่ห้องโดยสารของบีเอ็มดับเบิลยู XM Label Red ตราสัญลักษณ์ “XM” สีแดงสุดโดดเด่นบริเวณใต้หน้าจอ Control display ควบคู่ไปกับแถบตกแต่งภายในคาร์บอนไฟเบอร์แบบซาติน ประดับด้วยด้ายเน้นสีแดงและสีน้ำเงิน เสริมมาดให้รถยนต์คันนี้เป็นรถตามแบบฉบับ M อย่างแท้จริง พวงมาลัยหุ้มหนังดีไซน์ M มีส่วนประกอบตกแต่งในสีดำโครเมียม พร้อมด้วยปุ่ม M และแป้นเปลี่ยนเกียร์คาร์บอนซึ่งมีสัญลักษณ์บวกและลบเป็นสีแดง พร้อมทั้งคุณสมบัติพิเศษเฉพาะของบีเอ็มดับเบิลยู XM Label Red จากตราสัญลักษณ์ที่ระบุโหมดการขับขี่แบบ Boost Mode บนแป้นเปลี่ยนเกียร์ด้านซ้าย ส่วนห้องโดยสารด้านท้ายแบบ M Lounge สุดพิเศษ ยังมอบความรู้สึกที่กว้างขวางให้กับผู้โดยสาร พร้อมการตกแต่งด้วยวัสดุคุณภาพสูงและการออกแบบที่หรูหรา
ผ้าบุหลังคายังเป็นเสมือนงานประติมากรรม 3 มิติ ลวดลายแบบปริซึมและเมื่อเปิดหลังคาก็จะพบกับหลอดไฟ LED กว่า 100 ดวงบนหลังคาที่ส่องสว่างอย่างงดงามยามค่ำคืน คอนโซลด้านบนยังบุด้วยหนังแบบ BMW Individual ทำให้การตกแต่งภายในสะดุดตาและหรูหราไปอีกขั้น นอกจากนี้ ยังมีชุดไฟตกแต่งภายใน ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบ 4 โซน ระบบระบายอากาศ ระบบเสียงรอบทิศทางจาก Bowers & Wilkins Diamond surround sound system พร้อมด้วยระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่และระบบความปลอดภัยอีกมากมาย