บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด แนะนำเทคนิคการขับรถประหยัดน้ำมันและการใช้งานรถที่ถูกต้อง พร้อมทั้งการเลือกใช้รถยนต์สักคันให้ได้อย่างคุ้มค่า คุ้มราคา ในฐานะที่เป็นหนึ่งในแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จทางด้านยอดขายรถยนต์อีโคคาร์มากกว่า 200,000 คัน อีกทั้งยังมีผลิตภัณฑ์อย่าง SUZUKI ซึ่งเป็นหนึ่งในรุ่นที่ได้รับความนิยม โดยตั้งแต่เปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อช่วงกลางปี 2558 ที่ผ่านมาสามารถสร้างยอดขายมากกว่า 45,000 คัน นับเป็นรถยนต์อีกหนึ่งรุ่นที่สามารถตอบโจทย์ความคุ้มค่าด้านการใช้งาน การบำรุงรักษา และรวมถึงราคาที่เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบันได้เป็นอย่างดี โดยสถานการณ์ราคาน้ำมันในประเทศไทยยังคงมีแนวโน้มที่จะพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ผนวกกับสภาพการจราจรยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่ออัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงและเงินในกระเป๋าของผู้บริโภค หลายคนจึงมองหาทางแก้ไขในช่วงวิกฤติ ทั้งการเลือกใช้บริการขนส่งสาธารณะ หรือศึกษาวิธีที่จะช่วยให้ขับรถได้อย่างประหยัดน้ำมันเพื่อลดภาระค่าใช้จ่าย ซึ่งขอแนะนำเคล็ดลับ ดังนี้
1.วางแผนทุกครั้งก่อนเดินทาง
การเดินทางในทุกวันมักจะมีจุดหมายที่ชัดเจน การศึกษาเส้นทาง ไปจนถึงการกำหนดระยะเวลาการเดินทาง นอกจากจะหลีกเลี่ยงเส้นทางที่มีการจราจรที่แออัดแล้ว ยังช่วยร่นระยะทาง หรือไม่ใช้ระยะทางที่ไกลเกินความจำเป็น เป็นเทคนิคการขับรถที่ช่วยประหยัดน้ำมันได้เป็นอย่างดี อีกทั้งการมีเทคโนโลยีอันทันสมัยเข้ามาช่วยในการวางแผนการเดินทางก็มีความจำเป็นอย่างมากในปัจจุบัน ระบบแผนที่นำทางจากอุปกรณ์มือถือที่สามารถเชื่อมต่อได้ผ่านระบบสมาร์ทโฟนที่รองรับทั้ง Apple CarPlay, Android Auto บนเครื่องเล่นวิทยุที่ติดตั้งมากับตัวรถ มีความแม่นยำสูงในการกำหนดเส้นการเดินทาง เป็นตัวช่วยที่อำนวยความสะดวกได้เป็นอย่างดีโดยเฉพาะเวลาขับรถไกลๆ การมีระบบนำทางที่วางใจได้เป็นอีกวิธีหนึ่งในการช่วยให้ไปถึงจุดหมายได้ตามเวลาที่กำหนด
2.การรู้จักการใช้ความเร็วให้คงที่และเหมาะสม
ผู้บริโภคส่วนใหญ่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า การขับขี่รถด้วยความเร็วสูงไปจนถึงการเบรกหยุดรถอย่างรุนแรงหรือบ่อยครั้งเกินไป จะส่งผลต่อการเพิ่มของอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงมากขึ้น การเรียนรู้การใช้คันเร่งและเบรกอย่างเหมาะสมจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างมาก การค่อยๆ กดคันเร่งตั้งแต่การออกตัว ไปจนถึงการรักษาระดับความเร็วให้คงที่ จะช่วยให้ประหยัดน้ำมันได้ ไปจนถึงการคำนวนระยะใช้การยกคันเร่ง ชะลอความเร็วแทนการเหยียบเบรกบ่อยๆ ซ้ำๆ ก็เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยในการประหยัดน้ำมันได้เช่นกัน
3.ตรวจเช็คลมยางและเติมลมยางที่เหมาะสม
หมั่นตรวจเช็คลมยางให้เหมาะสมกับการขับขี่ หรือควรจะต้องตรงตามสเป็คที่รถยนต์ในแต่ละรุ่นนั้นๆ กำหนดให้ จะช่วยให้รถมีอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันที่ต่ำ เพราะลมยางรถยนต์ที่ต่ำเกินไปนอกจากจะส่งผลต่อสมรรถนะการขับขี่รถยนต์ที่ไม่ปลอดภัยแล้ว ยังเพิ่มอัตราการใช้น้ำมันมากขึ้นอีกด้วย
4.ดูแลรักษาและตรวจเช็คสภาพรถยนต์
อายุการใช้งานไปจนถึงสภาพความพร้อมของตัวรถเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญการเอาใจใส่ในการนำรถไปตรวจเช็คเพื่อให้รถและเครื่องยนต์อยู่ในสภาพสมบูรณ์สำหรับการใช้งาน อาทิ การตรวจเช็คความสะอาดของกรองอากาศเพราะออกซิเจนเป็นสิ่งจำเป็นในการทำงานของเครื่องยนต์รถยนต์ หากกรองอากาศของรถไม่สะอาด จะส่งผลต่อเครื่องยนต์ของรถได้ อย่างไรก็ตาม รถยนต์รุ่นใหม่ที่ยังอยู่ในระยะประกันควรนำเข้าตรวจเช็คยังศูนย์บริการที่มีคุณภาพตามระยะที่กำหนด ส่วนรถเก่าที่มีอายุการใช้งานมายาว นานหลายปี ไม่ควรมองข้ามการนำเข้าตรวจเช็คจากอู่หรือศูนย์ที่ไว้วางใจอยู่เสมอ โดยเฉพาะก่อนขับเดินทางระยะไกลเพื่อความปลอดภัยในการใช้งาน
5.การเลือกซื้อรถยนต์ให้เหมาะสมกับการใช้งาน
ตลาดรถยนต์ในประเทศไทยมีกลุ่มเซ็กเมนท์หลากหลาย จึงทำให้ผู้บริโภคมีเกณฑ์ในการตัดสินใจเพื่อเลือกรถยนต์สักคันไปใช้งานมีความหลากหลายด้วยเช่นกัน ทั้งในเรื่องของราคาจำหน่าย ชนิดของเครื่องยนต์ หรือขนาดของตัวรถ แต่ปัจจัยสำคัญที่ควรคำนึงถึง คือ การเลือกซื้อรถยนต์ให้เหมาะสมกับการใช้งานในชีวิตประจำวันอย่างแท้จริง อย่างเช่น ชีวิตประจำวันเน้นการใช้รถเพื่อการขับขี่ในเมืองเป็นส่วนใหญ่ การเลือกใช้รถยนต์อีโคคาร์ ก็นับเป็นทางเลือกที่เหมาะสม เพราะนอกจากจะมีความคล่องตัวสูง ประสิทธิภาพในการประหยัดน้ำมันก็ยังดีเยี่ยมอีกด้วย ฉะนั้น จะเห็นได้ว่าประเภทของรถมีบทบาทสำคัญในการสร้างผลลัพธ์ที่แตกต่างในเรื่องของความประหยัดและคุ้มค่าเมื่อใช้งาน