อีโคคาร์ ไม่ได้เป็นซิตี้คาร์รถกระป๋องคันเล็กๆที่วิ่งด้วยความเร็วต่ำใช้งานในเมืองเป็นหลัก แต่เป้าหมายของ อีโคคาร์ อยู่ที่ความประหยัด ใครจะใช้ตัวถังใหญ่แค่ไหนก็ได้ในเครื่องยนต์ 1200 CC แล้วทำตัวเลขที่รัฐบาลกำหนดได้ก็โอเคแล้ว จึงไม่แปลกที่ค่ายซูซูกิจะมาเหนือเมฆด้วยการนำรถยนต์ซับคอมแพ็คท์อย่าง Suzuki Swift มาลงเล่นในตลาด อีโคคาร์ ที่ผู้เล่นก่อนหน้าทำแค่รถคันเล็กๆส่งผลให้ Swift แจ้งเกิดในตลาดอีโคคาร์ได้อย่างรวดเร็วจนขึ้นเป็นเบอร์หนึ่งในช่วงนั้นอีกต่างหาก
ถึงวันนี้ Swift ได้ปรับเปลี่ยนโมเดลกันไปแล้วเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา ในปีนี้จึงเป็นโมเดล 2011 ที่ถูกจับมาแต่งหน้าทาปากกันให้ดูเป็น อีโคคาร์ สปอร์ตพรีเมี่ยมจึงเหลือไว้เพียงแค่ 2 รุ่นให้เลือกคือ GLX และGL ที่มีราคาเริ่มต้น 557, 000 บาท
สไตล์การทำตลาดของ Suzuki ไม่มีกั๊กเพียงแต่มีราคามากำหนดว่าในรถจะได้อะไรบ้างมีมากไปบางทีก็ไม่ได้ใช้เสียเงินเปล่าสิ่งที่มีให้ในรถนั้นจึงเป็นของที่ได้ใช้แน่นอน สำหรับรุ่นที่ได้ขับในครั้งนี้จะเป็นรุ่น GLX ราคาเริ่มต้น 629,000 บาท มีการเปลี่ยนหลักๆภายนอกอยู่ที่กระจังหน้าตกแต่งด้วยโครเมียมแบบใหม่และได้ล้ออลูมิเนียมปัดเงาใหม่ขนาด 16 นิ้วโดยจะได้โคมไฟหน้าแอลอีดี โปรเจคเตอร์ส่วนไฟท้ายจะเป็นแอลอีดีเช่นกัน
Swift ไม่ได้ถูกกำหนดให้เป็นแค่รถใช้งานในเมืองเพียงอย่างเดียวโดยรถรุ่นนี้สามารถเดินทางไกลได้อย่างสบายๆกับขนาดตัวถังที่ใหญ่พอสำหรับผู้โดยสาร 5 คนจากตัวรถที่ยาว 3846 มิลลิเมตร กว้าง 1735 มิลลิเมตร สูง 1495 มิลลิเมตร โดยมีฐานล้อยาว 2450มิลลิเมตร
เพื่อพิสูจน์สมรรถนะของ Swift ใหม่เส้นทางจากกรุงเทพฯวิ่งไปลาดกระบังแล้ววกกลับเข้ามาในเมืองที่มีการจราจรหนาแน่นอย่างเยาวราชจึงถูกจัดไว้ในโปรแกรมครั้งนี้ ซึ่งจะเห็นได้ชัดเจนถึงสมรรถนะที่มีเมื่อต้องใช้ความเร็วระดับ 120- 140 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ตัวรถยังทรงตัวได้นิ่งอยู่จากการใช้โครงสร้างตัวถังแบบฮาร์ทเทคที่มีน้ำหนักเบาแต่มีความแข็งแรงจากการลดส่วนโค้งงอพร้อมกับปรับตำแหน่งการวางเครื่องยนต์ระบบส่งกำลังระบบรองรับน้ำหนักและถังน้ำมัน
การเชื่อมต่อของจุดเชื่อมจะทำให้จะทำได้อย่างสมบูรณ์แบบช่วยลดน้ำหนัก 15% แต่แข็งแรงขึ้น 10% เป็นโครงสร้างตัวถังที่มีการน้ำหนักน้อยลงแข็งแกร่งทนทานจึงทรงตัวได้ดีแม้ขับขี่ที่ความเร็วสูง อีกทั้งยังได้ความคล่องตัวเมื่อต้องใช้งานในเมืองที่มีการจราจรหนาแน่น รวมถึงโครงสร้างตัวถังแบบ TECT ช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งของตัวรถ พร้อมระบบ NVH ช่วยกันการสั่นสะเทือน และลดเสียงรบกวนจากภายนอก
เมื่อเดินทางไกลสิ่งที่ได้ใช้คือระบบ Cruise Control ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ ให้ขับสบายตลอดทาง อีกทั้งยังอัดแน่นไปด้วย ระบบ ESP ช่วยควบคุมสเถียรภาพการทรงตัว ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี TCS และระบบ IDLING STOP ที่ลดมลพิษและลดการสิ้นเปลืองน้ำมันขณะรถหยุดนิ่งเหมาะกับการขับขี่ในเมือง เมื่อต้องจอดรถบนตึกก็ได้ใช้ระบบ Hill Hold Control ช่วยออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชัน พร้อมทั้งถุงลมนิรภัยถึง 6 ตำแหน่ง
ภายในห้องโดยสารสีดำ ตกแต่งด้วยวัสดุสีเงินสไตล์สปอร์ต มาตรวัดตกแต่งลายเส้นสีแดง พร้อมพวงมาลัยมัลติฟังก์ชันทรง D-Shape เพิ่มพื้นที่วางขาและปรับระดับได้ 4 ทิศทาง มาพร้อมระบบเอ็นเตอร์เทนเมนท์และอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน ด้วยหน้าจอระบบสัมผัสขนาด 8 นิ้ว รองรับทุกการเชื่อมต่อทั้ง Apple CarPlay, Android Auto และ Bluetooth
เบาะนั่งทรงสปอร์ตออกแบบมาให้โอบกระชับสรีระเพื่อความมั่นคงในการควบคุมรถโดยเฉพาะการเข้าโค้งที่เบาะนั่งแบบนี้เพิ่มความมั่นใจได้มาก
เบาะหลังปรับพับได้แบบ 60:40 รองรับผู้โดยสารได้3คน
รองรับการเดินทางหลากรูปแบบด้วยพื้นที่เก็บสัมภาระขนาด 265 ลิตร พร้อมด้วย Keyless Entry เปิด-ปิดล็อกประตูได้โดยไม่ต้องกดกุญแจรีโมท สะดวก ทันสมัย ด้วย Keyless Push Start สตาร์ทหรือดับเครื่องยนต์ได้ในปุ่มเดียว และเสริมความปลอดภัยในการถอยจอดทุกพื้นที่ด้วยกล้องมองหลังสุดคมชัด
เครื่องยนต์เบนซินที่ใช้คือ รหัส K12M 4 สูบ ขนาด 1.2 ลิตร รองรับน้ำมัน E20 ให้กำลังสูงสุด 83 แรงม้าที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุดที่ 108 นิวตันเมตร ที่ 4,400 รอบ/นาที
มาพร้อมเทคโนโลยีหัวฉีดคู่หรือ DUALJET ที่จัดวางไว้ใกล้กับห้องเผาไหม้ ฉีดน้ำมันเชื้อเพลิงเข้าไปที่กระบอกสูบพร้อมกันทั้ง 2 หัวทำให้น้ำมันมีละอองละเอียดขึ้น ฉีดน้ำมันได้อย่างแม่นยำและช่วยลดอุณหภูมิในกระบอกสูบเพิ่มประสิทธิภาพในการเผาไหม้ โดยมีกำลังอัด 11.5 มากกว่าเครื่องยนต์ทั่วไป ทำให้เกิดการเผาไหม้อย่างรวดเร็วช่วยประหยัดน้ำมันมากขึ้น นอกจากนี้เครื่องยนต์ DUALJET ยังมีระบบ EGR ที่ช่วยลดอุณหภูมิในห้องเผาไหม้ ระบายความร้อนแก๊สไอเสียด้วยน้ำและหมุนวนเข้าท่อร่วมไอดี เมื่อต้องการเร่งซงก็ทำได้รวดเร็ว อีกทั้งยังประหยัดน้ำมันอีกด้วย