สถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ได้สร้างผลกระทบอย่างใหญ่หลวงให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ทั่วโลก รวมถึงในประเทศไทยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ยังคงเดินหน้าต่อไปด้วยความแข็งแกร่ง หลังจากที่ทั้งแบรนด์บีเอ็มดับเบิลยูและมินิต่างทำผลงานได้ดีกว่าสถิติช่วงครึ่งปีแรกของตลาดรถยนต์ในประเทศ ทั้งในภาพรวมและในเซกเมนต์รถยนต์พรีเมียม
มร. อเล็กซานเดอร์ บารากา ประธาน บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย กล่าวว่า “โลกของเรากำลังเผชิญกับความท้าทายอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน แต่ผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งของเราตลอดหลายปีที่ผ่านมาก็ยังคงเป็นปัจจัยบวกที่สนับสนุนให้เรายังฝ่าฟันอุปสรรคนี้ต่อไปได้ ด้วยยอดส่งมอบรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูและมินิกว่า 4,164 คัน ตลอดครึ่งแรกของปี 2563 หรือลดลง 24% เมื่อเทียบปีต่อปี ซึ่งนับเป็นอัตราที่ดีกว่าตลาดในภาพรวมที่มียอดขายลดลง 41.5% ขณะที่ยอดขายของเซกเมนต์รถยนต์พรีเมียมลดลงที่ 35.5% ความแข็งแกร่งนี้ทำให้ส่วนแบ่งตลาดรถยนต์พรีเมียมของเราขยายตัวขึ้นเป็น 43.6% หรือคิดเป็นการเติบโตถึง 6% ในช่วงครึ่งปีแรก”ความแข็งแกร่งนี้ยังสะท้อนต่อไปถึงบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ที่มียอดส่งมอบมอเตอร์ไซค์ทั้งหมด 616 คันลดลงเล็กน้อยที่ 6% เมื่อเทียบกับปีก่อน ขณะที่รถยนต์มือสองของบีเอ็มดับเบิลยูกลับทำผลงานสวนกระแสตลาด ด้วยยอดขายทั้งสิ้น 727 คัน สูงขึ้นถึง 15%
“เรายังคงมีความมุ่งมั่นที่แรงกล้าในการขับเคลื่อนนวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้าให้ก้าวสู่การเป็นมาตรฐานใหม่ แม้ในสถานการณ์เช่นนี้ โดยภายในครึ่งแรกของปีนี้ เราได้เผยโฉมรุ่นรถยนต์ไฟฟ้าจากทั้งแบรนด์บีเอ็มดับเบิลยูและมินิถึง 4 รุ่น ขณะที่โครงการ ChargeNow ยังขยายเครือข่ายอย่างต่อเนื่องกับแผนการเปิดให้บริการสถานีอัดประจุไฟฟ้าสาธารณะตลอดทั้งปี ปัจจุบัน เครือข่ายของ ChargeNow รวมทั้งสถานีอัดประจุไฟฟ้าที่ผู้จำหน่ายของเรามีให้บริการทั้งหมด 141 หัวจ่ายใน 63 แห่งทั่วประเทศไทย ซึ่งทุกหัวจ่ายของเครือข่าย ChargeNow สามารถอัดประจุไฟฟ้าได้ทั้งรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดและรถยนต์ไฟฟ้าล้วนในทุกรุ่นและทุกแบรนด์ และคาดว่าจะสามารถขยายเครือข่ายทั้งหมดให้ก้าวสู่จำนวนรวม 150 หัวจ่ายได้ภายในปี 2563”
“ด้วยยอดขายรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูปลั๊กอินไฮบริดที่พุ่งสูงขึ้น เราจึงได้เห็นลูกค้าบีเอ็มดับเบิลยูและมินิเลือกติดตั้งตู้ชาร์จ i Wallbox ที่บ้านและสำนักงานของตนเอง รวมเป็นจำนวนกว่า 1,230 ตู้ นับตั้งแต่ปี 2559 เป็นต้นมา โดยตามข้อมูลและสถิติที่เรามี ลูกค้านิยมติดตั้งตู้ชาร์จที่บ้านและที่ทำงานมากขึ้น เพราะสามารถใช้พลังงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วยระบบขับเคลื่อนแบบไฟฟ้าล้วนได้ในทุก ๆ วัน โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการติดตั้งตู้ชาร์จเป็นจำนวนมาก ซึ่งปัจจุบัน เราคาดว่าจะสามารถติดตั้งตู้ชาร์จ i Wallbox ณ บ้านและสำนักงานของลูกค้าเพิ่มขึ้นรวม 1,840 จุดในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้”