ต้องยอมรับว่าน่ากลัวสำหรับการเข้ามาทำตลาดในเมืองไทยของค่ายมอเตอร์ไซค์บาจาจจากประเทศอินเดีย ด้วยความพร้อมในเรื่องของทุน พร้อมในเรื่องของเทคโนโลยีที่ได้จากการไล่ซื้อโรงงานที่ขาดกำลังเงินและความพร้อมในเรื่องของทรัพยากรอย่างเหล็กที่ใช้ประกอบตัวรถ ชื่อบาจาจอาจจะใหม่ในเมืองไทยแต่ถ้าเป็นอินเดียก็เป็นเบอร์ 1 ในตลาดมอเตอร์ไซค์ ขณะที่หลายประเทศบาจาจก็รุกคืบเข้าไปโดยอาศัยความทนทานเป็นจุดขาย จึงทำให้บาจาจได้ใจผู้ใช้ที่ซื้อรถมอเตอร์ไซค์ไปใช้แล้วคุ้ม
บาจาจเข้ามาเปิดตัวในเมืองไทยเมื่อต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมานี้เอง โดยรถคันแรกก็มีการส่งมอบถึงมือลูกค้ากันไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จะใช้โรงงานในประเทศมาเลเซียเป็นแหล่งผลิตส่งมาขายในตลาดเมืองไทย รุ่นท็อปสุดของบาจาจคือ Domina 400 ซึ่งเป็นมอเตอร์ไซค์สูบเดียว4จังหวะ 400 ซีซี ที่ตั้งราคาขายไว้เพียง 115,00 บาท เป็นราคาที่ต่ำมากเมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งที่มีอยู่ในตลาดตอนนี้
หน้าตาอาจจะไม่สวยโดนใจตั้งแต่แรกเห็นซึ่งเป็นเรื่องปกติสำหรับมอเตอร์ไซค์อินเดีย แต่การออกแบบนั้นจะเน้นในเรื่องของการใช้งานมากกว่า พอได้ขึ้นไปคร่อมก็จะรู้สึกถึงความพอดีกับสรีระของคนไทย สามารถวางเท้าได้เต็มพื้นซึ่งจะได้ความมั่นคงเมื่อต้องจอดนิ่งๆจากความสูงของเบาะนั่ง 800 มม. โดยการออกแบบเบาะเป็น 2 ชิ้นต่างระดับ แต่ไม่ถือว่าต่างกันมากซึ่งดูคล้ายๆกับความต่างระดับของพวกเบาะเดี่ยวมากกว่า เป็นเบาะนั่งที่มีความกว้างพอสมควร
Domina 400 เป็นมอเตอร์ไซค์เน็คเก็ตไบค์ สไตล์ Sport Tourer แต่ก็มีการเพิ่มคาวริ่งด้านล่างให้ดูเป็นสปอร์ตมากขึ้นรวมไปถึงการออกแบบบังโคลนหน้าและกรอบหม้อน้ำ โดยโคมไฟหน้าจะเป็น Full LED จึงได้ความสว่างที่ชัดเจนเมื่อต้องใช้งานในยามค่ำคืน
จัดอยู่ในกลุ่มมอเตอร์ไซค์ยุคใหม่จึงได้จอดิจิตอลแสดงวัดรอบเครื่องยนต์แบบกราฟ ส่วนวัดความเร็วจะเป็นตัวเลขขนาดใหญ่มองเห็นได้ชัดเจน รวมไปถึงขีดบอกระดับน้ำมันแบบเดียวกับรถยนต์ที่คุ้นเคยกันดี นอกจากนั้นยังมีข้อมูลบอกไว้บนจอที่ติดตั้งเอาไว้ตรงถังน้ำมันด้วยแต่ตัวหนังสือจะเล็กหน่อยทำให้มองลำบากตอนขี่
การออกแบบท่านั่งกำลังดีไม่ต้องก้มมากจากแฮนด์ที่กว้างและยกสูง อาจจะมีต้านลมบ้างด้วยตัวรถโล่งๆไม่มีแฟริ่งมาช่วย แต่เบาะนั่งที่ไม่สูงนักก็ช่วยเอาไว้ได้เยอะ ตอนวิ่งทางตรงหรือทางโค้งกว้างๆการเกาะถนนก็ทำได้ดี ส่วนโค้งแคบอาการดื้อโค้งมีให้เห็นบ้างเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้มากจนน่าเกลียด แต่พอคุ้นเคยก็สามารถจับจังหวะการเข้าโค้งแคบๆดีขึ้น
สิ่งที่เด่นคงไม่พ้นกำลังของเครื่องยนต์ถึงจะมีสูบเดียวแต่อัตราเร่งติดมือเรียกกำลังออกมาใช้งานได้อย่างต่อเนื่อง จากเครื่องยนต์สูบเดียว 373 ซีซี ซึ่งเครื่องยนต์ลูกนี้เคยเป็นของ KTM 390 Duke มาก่อน ได้มาจากการเข้าไปซื้อโรงงาน KTM ในประเทศมาเลเซีย แล้วเพิ่มสมรรถนะเข้าไปด้วยการใส่หัวเทียน 3 หัวทำให้กระบอกสูบใหญ่ๆสามารถเผาไหม้ได้อย่างทั่วถึงจึงไม่แปลกใจว่าทำไมอัตราเร่งสามารถทำได้ดีแบบนี้ ให้กำลังสูงสุดถึง 40 แรงม้าและแรงบิด 35 นิวตันเมตรที่ 7,000 รอบต่อนาที กำลังเรียกใช้ออกมาได้ตั้งแต่รอบต่ำยันต์รอบสูงความเร็วสูงสุดเกิน 160 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ใช้ระบบส่งกำลังด้วยเกียร์ 6 สปีด การเปลี่ยนเกียร์ต่ำได้นุ่มนวลและแม่นยำมีการติดตั้งสลิปเปอร์คลัชเข้าไปจึงมั่นใจมากยิ่งขึ้นเวลาเข้าโค้ง
สุ้มเสียงดุดันพอสมควรจากท่อไอเสียแบบท่อคู่ที่ออกแบบมาสำหรับเครื่องยนต์ 373 ซีซีโดยเฉพาะช่วยให้การคายไอเสียทำได้รวดเร็วขึ้นไม่อั้น นี่ก็เป็นอีกจุดหนึ่งที่ทำให้เครื่องยนต์ไหลลื่นตลอด โดยเครื่องยนต์จะใช้ชุดเปิดปิดวาล์วแบบคู่ทำให้สามารถลากรอบเครื่องยนต์ได้สูงถึง 9,500 รอบต่อนาที เป็นการเพิ่มแรงบิดและลดการสั่นสะเทือนของเครื่องยนต์ได้อีกทาง
สิ่งที่ทำได้ดีอีกอย่างนึงของ Dominar 400 ก็คือการซับแรงกระแทกจากการวางมุมโช๊คอัพหน้าในองศาที่พอดี แล้วเลือกโช๊คอัพหัวกลับขนาด 43 มิลลิเมตรมาใช้งาน ถึงจะดูโล่งๆไม่มีโลโก้มาแปะไว้แต่โช๊คอัพคู่หน้านั้นเป็นของโรงงาน WP ที่ติดตั้งอยู่ในพวกรถ KTM ทั้งหลายนั่นเอง นอกจากนั้นยังได้ชุดเบรคของ Brembo ที่ผลิตในต่างประเทศใช้ชื่อBYBRE มาพร้อม ABS จาก Bosch แบบ Dual Channel นี่คือสิ่งที่ทำให้การเบรกทำได้ดั่งใจ
น้ำหนักตัวรถอาจจะเยอะหน่อยเพราะยังใช้เฟรมเหล็กอยู่เป็น เฟรมแบบ Solid Stamp Perimeter Frame แต่ก็ให้ความแข็งแรงดีทนต่อการบิดตัวที่ส่งผลดีในเรื่องของการควบคุมรถได้อย่างมั่นคงคล่องตัว
มองดูด้านท้ายจะรู้สึกคุ้นๆกับรูปทรงที่ดูคล้ายกับ Ducati Diavel มาพร้อมระบบกันสะเทือนหลังเป็นสวิงอาร์มโช๊คอัพเดียวของบาจาจโดยมีซับแท็งค์ติดตั้งมาให้พร้อม ชุดเบรกจะเป็นดิสเบรกเดี่ยวพร้อม ABS
โดยภาพรวมแล้ว Dominar 400 น่าจะเป็นมอเตอร์ไซค์ที่เหมาะกับการใช้งานมากกว่าการโชว์ในเรื่องของดีไซน์ จากองค์ประกอบที่ทำให้มาเกือบครบ ทั้งท่านั่ง สมรรถนะและเทคโนโลยีที่มีมาให้ในราคาที่แพงกว่ามอเตอร์ไซค์ 150 ซีซี แค่นิดเดียว ส่วนเรื่องบริการหลังการขายนั้นก็เป็นเรื่องที่ทาง “วรูม ไทยแลนด์” พยายามเร่งอยู่ โดยไม่เน้นโชว์รูมที่มีขนาดใหญ่แต่เน้นการกระจายให้ทั่วถึงมากกว่า จึงต้องมองว่าในอนาคตบาจาจจะสามารถแจ้งเกิดในเมืองไทยได้เร็วแค่ไหน