นิสสัน พัลซาร์เป็นรถ 5 ประตูที่คนอายุ 40 อัพจะคุ้นเคยชื่อนี้กันบ้างในฐานะรถที่นำมาปรับให้แรงแล้วขับโชว์อวดสาวๆ หน้าเดอะพาเลซได้ในยุคที่รถในเมืองไทยยังไม่มีหลากหลายมากนัก พัลซ่าร์ก็อยู่ในใจขาซิ่งหลายๆ คน
นิสสันได้นำชื่อพัลซ่าร์มาใช้เพื่อสร้างความแตกต่างไปจากซิลฟีที่เป็นรถซีดาน 4 ประตู โดยเน้นความเป็นสปอร์ตมากกว่าด้วยลวดลายเส้นที่พลิ้วไหวโดยเฉพาะเส้นข้างลำตัวที่ได้นำสไตล์ของ 350 แซดมาใช้ จึงได้ความสปอร์ตปราดเปรียวมากขึ้น หน้าตาของพัลซ่าร์จะแตกต่างจากซิลฟีอยู่บ้างแต่ก็ไม่มากนัก ตัวท็อปของรุ่น 1.8 จะได้ล้ออัลลอยด์ 17 นิ้วและไฟหน้าเป็นแบบไฟซีนอนโปรเจคเตอร์พร้อมกับซันรูฟที่ให้ดูมีระดับกว่ารถระดับเดียวกัน
ภายในห้องโดยสารจะมีจุดขายตรงความกว้างมีออพชั่นครบครันทำให้ดูหรูหรามีระดับ อาจจะมีบ้างบางจุดที่น่าจะปรับให้ดีขึ้นอย่างเส้นของแผงเสริมตรงแผงประตูที่ใช้สีต่างจากจุดเชื่อมต่อตรงช่องแอร์ทำให้ดูขัดๆ ไปบ้างแผงคอนโซลของพัลซ่าร์ทำได้ดี แทนที่จะใช้พลาสติกขึ้นรูปเพียวๆ ก็ใช้วัสดุที่มีความนุ่มปูทับซึ่งช่วยลดแรงเวลากระแทกและได้ความมีระดับมากกว่า เมื่อก่อนจะใช้กันแบบนี้ต่างกับปัจจุบันที่ลดต้นทุนจนละเลยในจุดนี้ไป
เบาะนั่งหุ้มหนังกว้างๆ นั่งสบาย เบาะนั่งจะใช้การปรับด้วยมือที่จะทนทาน ดูแลง่ายกว่าการปรับด้วยไฟฟ้า ซึ่งรถทั่วๆไปเวลาใช้งานก็ไม่ค่อยได้ปรับกันอยู่แล้วโดยเฉพาะคันที่ขับด้วยคนๆ เดียวไม่ได้เปลี่ยนมือกันใช้ เบาะนั่งเป็นสีดำเข้ากับห้องโดยสารที่ใช้โทนสีดำทำให้ดูสปอร์ตมากกว่าซิลฟี แต่เรื่องความสบายก็ยังมีมาให้พร้อม โดยสามารถพับเบาะหลังแบบ 60:40 เพื่อการจัดเก็บสัมภาระที่ยาวกว่าปกติได้
เบาะหลังยังมีพนักวางแขนที่พับซ่อนเอาไว้พร้อมที่วางแก้ว การกระจายความเย็นได้เพิ่มจากช่องแอร์ที่อยู่ตรงคอนโซลระหว่างเบาะ ทำให้ได้ความเย็นได้สม่ำเสมอยิ่งเวลาเจออากาศร้อนๆ ในตอนนี้
แผงคอนโซลมีขนาดใหญ่ออกแบบให้โค้งมนดูมีระดับแบบเดียวกับรถหรูมาพร้อมกับหน้าจอ MID ด้านล่างจะเป็นปุ่มควบคุมแอร์แบบอัตโนมัติ พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นมีปุ่มปรับเยอะมากสามารถควบคุมการทำงานของหลายๆอุปกรณ์ เป็นพวงมาลัย 3 ก้านหุ้มหนังที่จับได้ดีกว่าพวงมาลัยแบบ 4 ก้าน ส่วนปุ่มควบคุมเครื่องเสียงมีปุ่มหมุนแบบรุ่นเก่าๆ ทำให้เลือกคลื่นวิทยุได้สะดวกกว่าแบบกดปุ่มโดยไม่ต้องเหลือบตามอง
เครื่องยนต์ที่ใช้ในรุ่น 1.8 จะเป็นเครื่องยนต์ ในรหัส MRA8DE ซึ่งเป็นเครื่องยนต์รุ่นใหม่ที่วางครั้งแรกในซิลฟี พอเป็นพัลซ่าร์ที่เป็นคู่แฝดก็ยังได้ใช้งานต่อ เครื่องยนต์ 1.8 กับ 1.6 จะมีลักษณะการทำงานต่างกัน รุ่น 1.8 จะใช้วาล์วแปรผันคู่บวกกับการเพิ่มช่วงชักของกระบอกสูบเพื่อให้มีกำลังในการอัดสูง เพื่อให้ได้วาล์วแปรผันทั้งทางฝั่งไอดีและไอเสียก็จะได้พละกำลังเครื่องยนต์ได้เต็มที่ การออกแบบให้มีวาล์วแปรผันจะช่วยให้การควบคุมการเปิด – ปิดวาล์วไอดีและไอเสียมีการเหลื่อมกันมากขึ้น สัมพันธ์กับการนำก๊าซไอเสียมาเผาไหม้ใหม่อีกครั้ง เป็นการลดค่า Pumping Loss ลดแรงต้านทานของกระบอกสูบลง เทคโนโลยีเพียวไดรฟ์ที่ใช้ในพัลซ่าร์ ทำให้อากาศสะอาดขึ้น เครื่องจะใช้การฉีดน้ำมันด้วยหัวฉีดอิเล็คทรอนิคมัลติพอยท์ 32 บิท ให้กำลังสูงสุด 131 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 174 นิวตัน-เมตร ที่ 3,600 รอบต่อนาที
ระบบส่งกำลังยังเป็นเกียร์ซีวีที เอ็กซ์ทรอนิคที่ให้ความนุ่มนวลในการขับเคลื่อน ไม่รู้สึกถึงจังหวะการเปลี่ยนเกียร์ มีการเพิ่มช่วงอัตราทดเกียร์กว้าง เพื่อเรียกแรงบิดสูงในช่วงต้นได้รอบเครื่องยนต์ที่ต่อเนื่อง อัตราเร่งยังคงเป็นสไตล์เกียร์ ซีวีที ช่วงออกตัวอัตราเร่งดีหน่อย หลังจากนั้นก็มาแบบเรื่อยๆ ต่อเนื่องไปจนถึงระดับ 140 กม./ชม. หลังจากนั้นจะมาค่อนข้างช้าหน่อย ไม่จำเป็นต้องเหยียบคันเร่งจม เพราะถึงรอบจะต่างแต่อัตราเร่งก็ยังมาเช่นเดิม
รอบเครื่องยนต์ที่ใช้ต่ำ ความเร็วเดินทางระดับ 100 กม./ชม. อยู่ที่ 1,800 รอบต่อนาที อัตราบริโภคจะไม่สูง หากใช้ความเร็วระดับ 100-120 กม./ชม. แต่ในการเดินทางครั้งนี้จะใช้ความเร็วค่อนข้างสูงระดับ 140 กม./ชม. และใช้การเร่งแซงบ่อยอัตราบริโภคจึงทำได้แค่ 11 กม.เศษ / ลิตร สิ่งที่ต่างออกไปจากซิลฟีคือการปรับช่วงล่างให้หนึบขึ้น การเข้าโค้งในความเร็วพอกันพัลซาร์จะทำได้ดีกว่า อีกทั้งยังปรับความแข็งของโช้คอัพมากกว่า ซึ่งระบบกันสะเทือนหน้ายังคงเป็นแบบแม็คเฟอร์สันสตรัทหลังเป็นทอร์ชั่นบีม แต่ขับแล้วรู้เลยว่าต่าง