Defender รุ่น 110 (5 ประตู) เป็นจุดเริ่มต้นของรถตระกูลขับเคลื่อนสี่ล้อที่มีสมรรถนะสูงและทนทานที่สุดในโลก และ Defender รุ่น 90 (3 ประตู) ที่มีขนาดกะทัดรัด ฐานล้อสั้น การออกแบบด้วยความหลงใหลและความเคารพต่อรถรุ่นดั้งเดิมเป็นแรงผลักดัน ทำให้ Defender มอบขีดความสามารถที่พัฒนาต่อได้อย่างไม่สิ้นสุด เทคโนโลยีขั้นสูงสำหรับการขับขี่ในทุกภาคพื้นพลิกโฉมการผจญภัยสำหรับศตวรรษที่ 21 โดยยังคงไว้ซึ่งจิตวิญญาณแห่งการบุกเบิกอันเป็นเครื่องหมายประจำตัวของ Land Rover มาตลอด 71 ปี โครงร่างที่เป็นเอกลักษณ์ทำให้ Defender เป็นที่จดจำได้ในเวลาอันรวดเร็ว ระยะยื่นด้านหน้าและหลังที่ไม่เทอะทะทำให้มีมุมปะทะและมุมจากที่เอื้อต่อการขับขี่อย่างคล่องตัว นักออกแบบของ Land Rover ได้ปรับภาพลักษณ์อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่เราคุ้นเคยของ Defender ให้เข้ากับศตวรรษที่ 21 โดยปรับตำแหน่งล้อทั้งสี่ยกสูงเพื่อจุดประสงค์ในการขับเคลื่อน และติดช่องแสง Alpine Light Window ตรงส่วนหลังคา แต่ยังคงเก็บประตูท้ายแบบบานพับด้านข้างและแป้นยึดยางอะไหล่นอกตัวรถที่เป็นเอกลักษณ์แบบดั้งเดิมไว้
สถาปัตยกรรม D7x (X แทนคำว่า Extreme ที่แปลว่าสุดขั้ว) ของ Land Rover แบบใหม่ที่สร้างขึ้นสำหรับวัตถุประสงค์เฉพาะ มีโครงสร้างแบบมีโครงในตัวที่เป็นอะลูมิเนียมน้ำหนักเบา เพื่อสร้างโครงตัวถังที่แข็งแรงที่สุดเท่าที่ Land Rover เคยผลิตมา การออกแบบโครงสร้างแบบนี้แข็งแรงทนทานกว่าการออกแบบที่เป็นการประกอบตัวถังบนโครงตามปกติสามเท่า ทำให้มีฐานมั่นคงสำหรับติดตั้งระบบกันสะเทือนแบบอิสระที่ใช้ถุงลมหรือขดลวดสปริง และสามารถรองรับระบบส่งกำลังไฟฟ้าแบบล่าสุดได้
ขีดความสามารถที่พัฒนาได้อย่างไม่สิ้นสุดทำให้ Defender มีคุณสมบัติที่ไม่เหมือนใคร ระบบขับเคลื่อนสี่ล้ออัตโนมัติที่มาพร้อมกับชุดเกียร์อัตโนมัติแบบ twin-speed และระบบเสริมสำหรับล็อกเฟืองกลางและเฟืองท้าย ช่วยให้มั่นใจได้ว่ารถรุ่นนี้ได้รับการติดตั้งอุปกรณ์ที่จำเป็นทั้งหมดที่ทำให้สามารถลุยฝ่าเนินทราย และสภาพพื้นที่แบบอื่นๆ ได้ทุกรูปแบบ และได้มีการนำระบบ Configurable Terrain Response มาใช้กับรถ Defender เป็นครั้งแรก โดยเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยให้ผู้ที่มีความชำนาญในการขับขี่บนเส้นทางแบบขรุขระสามารถปรับการตั้งค่าของพาหนะในการขับขี่แต่ละครั้งให้เหมาะสมกับสภาวะต่างๆ ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ขณะเดียวกันผู้ขับขี่มือใหม่ก็สามารถให้ระบบค้นหาการตั้งค่าพาหนะที่เหมาะสมกับสภาพพื้นที่มากที่สุดได้โดยใช้ฟังก์ชั่นอัตโนมัติแบบอัจฉริยะ
สถาปัตยกรรมตัวถังแบบใหม่ออกแบบให้รถรุ่น 110 มีความสูงจากพื้นดิน 291 มิลลิเมตร และมีโครงสร้างสำหรับการขับขี่บนเส้นทางขรุขระในระดับโลก ด้วยมุมปะทะ มุมคร่อม และมุมจากที่ 38, 28 และ 40 องศา (ความสูงเมื่อขับขี่บนเส้นทางขรุขระ) ตามลำดับ ความสามารถในการลุยน้ำได้สูงสุดที่ความลึก 900 มิลลิเมตร รองรับด้วยโปรแกรมตรวจสอบความลึกของน้ำในระบบ Terrain Response 2 ที่ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถขับลุยน้ำด้วยความมั่นใจเต็มร้อย สำหรับการขับขี่บนบกด้วยเทคโนโลยี ClearSight Ground View ขั้นสูงของ Land Rover ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถใช้ประโยชน์จากสมรรถนะสำหรับทุกการขับขี่ของ Defender ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ โดยการแสดงภาพตรงส่วนหน้าของรถในบริเวณที่มักถูกฝากระโปรงบดบังบนหน้าจอสัมผัสส่วนกลาง
ด้วยเหตุนี้ Defender จึงเป็นการพลิกโฉมขีดความสามารถเพื่อยกระดับมาตรฐานสำหรับทั้งการขับขี่ที่สมบุกสมบันบนเส้นทางขรุขระ และความสบายของการขับขี่บนเส้นทางราบเรียบ ทำให้สามารถลัดเลาะฝ่าเส้นทางแออัดในเมืองใหญ่ได้อย่างสบายๆ เช่นเดียวกับการไต่ไปตามภูเขา และลุยข้ามทะเลทราย เสถียรภาพที่ได้รับการพัฒนามาเป็นอย่างดีมอบประสบการณ์การขับขี่ที่ทรงคุณค่าและความสะดวกสบายสำหรับการเดินทางระยะไกลในสภาพภูมิประเทศทุกรูปแบบ
Defender ตัวใหม่นี้มีระบบส่งกำลังหลากหลายแบบ เครื่องยนต์เบนซินและดีเซล Ingenium ขั้นสูงที่มีประสิทธิภาพ กับตัวเลือกเครื่องยนต์ D200 หรือ D240 แบบสี่ลูกสูบ และเทคโนโลยีเทอร์โบคู่แบบต่อเนื่องที่ส่งแรงบิด 430Nm เพื่อการเพิ่มประสิทธิภาพและประหยัดเชื้อเพลิง เครื่องยนต์ D200 เร่งความเร็วจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในเวลา 10.3 วินาที ขณะที่เครื่องยนต์ D240 มีประสิทธิภาพทรงพลังกว่าด้วยกำลังขับ 200PS ขณะเร่งความเร็วจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงใน 9.1 วินาที โซลูชั่นทางวิศวกรรมที่ก้าวหน้าช่วยให้การขับขี่มีประสิทธิภาพ ซึ่งรวมถึงแผ่นปิดใต้ท้องรถที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของแอโรไดนามิก (ต่ำสุด 0.38 Cd) และปกป้องส่วนใต้ท้องรถ
เครื่องยนต์ทุกแบบขับเคลื่อนด้วยชุดเกียร์อัตโนมัติแปดสปีดของ ZF ที่ลื่นไหลและตอบสนองว่องไว และระบบเกียร์แบบ twin-speed เพื่อส่งกำลังในอัตราความเร็วต่ำขณะลากจูงหรือขับขี่บนเส้นทางขรุขระซึ่งต้องใช้การควบคุมมากกว่าปกติ
Defender รุ่นใหม่มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสูงมีการนำระบบข้อมูลและความบันเทิง Pivi Pro แบบใหม่ของ Land Rover มาใช้กับรถรุ่นนี้เป็นครั้งแรก หน้าจอสัมผัสที่ล้ำสมัยสามารถใช้งานได้ง่ายและเป็นมิตรต่อผู้ใช้ เพียงป้อนข้อมูลไม่กี่อย่างก็สามารถทำงานในฟังก์ชั่นที่มีการใช้งานบ่อยได้ นอกจากนี้ดีไซน์หน้าจอที่มีการแสดงผลตลอดเวลาแม้ปิดอยู่ ทำให้มั่นใจได้ว่าอุปกรณ์สามารถตอบสนองได้รวดเร็วแทบในทันที
Defender ยังยกระดับการอัปเดตซอฟต์แวร์ผ่านสัญญาณแบบไร้สาย (SOTA) ไปอีกขั้นด้วยโมดูลแยก 14 ตัวที่สามารถรับสัญญาณเพื่อทำการอัปเดตจากระยะไกลได้ Defender จะยิ่งมีการอัปเดตระบบให้ทันสมัยยิ่งขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป ด้วยการดาวน์โหลดข้อมูลขณะที่ลูกค้ากำลังนอนหลับอยู่ที่บ้านหรืออยู่ในสถานที่ห่างไกล โดยสัญญาณข้อมูลสำหรับการอัปเดตจะไหลผ่านลงไปยังตัวรถโดยอัตโนมัติอย่างรวดเร็ว ทำให้ลูกค้าไม่จำเป็นต้องเดินทางไปยังศูนย์บริการของ Land Rover เลย
Defender มีดีไซน์ตัวถังแบบ 90 และ 110 ให้เลือก โดยมีห้องโดยสารที่รองรับได้สูงสุดหกที่นั่งในรุ่น 90 และสำหรับรุ่น 110 สามารถเลือกห้องโดยสารแบบห้า/หกที่นั่งหรือแบบ 5+2 ที่นั่ง รุ่นต่างๆ ของรถประกอบด้วย Defender X รุ่นเรือธง รวมถึงรุ่นมาตรฐาน S และ SE ลูกค้าจะสามารถปรับแต่งรถได้หลากหลายรูปแบบกว่ารถ Land Rover รุ่นที่ผ่านๆ มาด้วยชุดอุปกรณ์เสริมสี่แบบ ได้แก่ ชุด Explorer, Adventure, Country และ Urban โดยชุดตกแต่งแต่ละชุดซึ่งประกอบด้วยอุปกรณ์เสริมหลากหลายที่คัดสรรมาโดยเฉพาะจะมอบบุคลิกที่แตกต่างกันไป นอกจากชุดอุปกรณ์เสริมแล้ว Defender ยังมีอุปกรณ์แบบแยกชิ้นให้เลือกหลากหลายกว่ารถรุ่นอื่นๆ ที่เคยมีมา Land Rover รุ่นใหม่นี้มีอุปกรณ์เสริมต่างๆ ครบครัน ไม่ว่าจะเป็นเต็นท์หลังคารถ ผ้าใบกันสาดแบบเป่าลม ไปจนถึงชุดอุปกรณ์โครงเหล็กบรรทุกสัมภาระบนหลังคารถ