เดี๋ยวนี้เราจะเห็นรถยุโรปหันมาใช้ระบบไฮบริดกันมากขึ้น ไม่เว้นรถหรูเพื่อนำพลังงานที่เสียไปนำมาใช้อย่างคุ้มค่า ถึงจะนำระบบไฮบริดมาใช้แต่ทางเมอร์เซเดส-เบนซ์ ก็คิดต่าง เพราะในญี่ปุ่นจะนำเครื่องยนต์เบนซินมาเสริมกำลังด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า แล้วใช้เกียร์ซีวีทีทำหน้าที่ตัดต่อกำลัง แบบนั้นยังไม่ประหยัดเต็มที่ ทางเมอร์เซเดส-เบนซ์จึงนำเครื่องยนต์ที่ประหยัดอยู่แล้วอย่างเครื่องยนต์ดีเซลมาเสริมแรงด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า แล้วใช้เกียร์ออโตเฟืองเป็นตัวส่งกำลังจึงได้เครื่องยนต์ที่ประหยัดเพิ่มขึ้นไปอีก
ที่ผ่านมาทางเมอร์เซเดส-เบนซ์ประเทศไทย ได้นำรุ่น อี 300 บลูเทค ไฮบริด เอเอ็มจี ไดนามิค มาขาย ซึ่งใส่ชุดแต่งของเอเอ็มจีเข้าไป ช่วยเพิ่มความเป็นสปอร์ตและเพิ่มสมรรถนะในการเกาะถนนมากขึ้น เป็นรถรุ่นแพงสุดในกลุ่มอีคลาสตอนนั้นกับค่าตัว 4,090,000 บาท เป็นครั้งแรกในเมืองไทยที่รถหรูได้นำเครื่องยนต์ไฮบริดดีเซลมาใช้ จึงเป็นรถหรูที่ประหยัดน้ำมันมากที่สุดในโลก เทคโนโลยีนี้มีการผสานการทำงานระหว่างเครื่องยนต์ดีเซลกับมอเตอร์ไฟฟ้าเข้าด้วยกันเพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในความประหยัดมากขึ้น
แม้ว่าเครื่องยนต์จะเล็กลง แต่ประสิทธิภาพที่แสดงออกมาไม่ต่างไปจากเครื่องยนต์ใหญ่ เมื่อได้เครื่องยนต์ดีเซลแถวเรียง 4 สูบ เทอร์โบคู่ ขนาด 2,143 ซีซี ผลิตกำลังได้ 204 แรงม้า ที่ 4,200 รอบ ต่อนาที บวกกับการเรียกกำลังอีก 27 แรงม้าจากมอเตอร์ไฟฟ้าใช้ แรงบิดสูงสุดจากเครื่องยนต์ดีเซล ทำได้ 500 นิวตัน-เมตร ที่1,600- 1,800 รอบต่อนาที เป็นแรงบิดในรอบต่ำซึ่งเป็นเป็นช่วงที่ใช้งานกันบ่อยๆ แม้ว่าตอนวิ่งด้วยความเร็ว 100 กม./ชม. จะใช้รอบเครื่องยนต์เพียง 1,400 รอบ/นาทีก็ตาม ช่วงแรงบิดสูงทำให้การเร่งแซงทำได้รวดเร็วเมื่อได้ใช้ความเร็วระดับ 120-140 กม./ชม. และยังมีการเสริมแรงบิดอีก 280 นิวตัน-เมตร จากมอเตอร์ไฟฟ้าทำให้อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ใช้เวลา 7.5 วินาที ทำความเร็วสูงสุดได้ 242 กม./ชม.
ตัวเลขเครื่องยนต์ดีเซลปกติของอีคลาสที่เคยขับมาก็อยู่แถวๆ 16-17 กม./ลิตร อยู่แล้ว น้ำมันเต็มถังวิ่งได้ประมาณพันกิโลนิดๆ พอเสริมมอเตอร์ไฟฟ้าเข้าไป ทางโรงงานก็เคลมตัวเลขไว้ที่ 23.81-24.39 กม./ลิตร เลยทีเดียว การทำงานเหมือนกับระบบไฮบริดของโตโยต้า ตอนสตาร์ทเครื่องถ้ามีไฟในแบตเตอรี่พอก็จะอยู่ในโหมดไฟฟ้า วิ่งไปไม่เกิน 35 กม./ชม. ก็จะใช้มอเตอร์ไฟฟ้า หากมีไฟไม่พอเครื่องยนต์จะรับช่วงต่อ หากทำความเร็วเกิน 35 กม./ชม. เครื่องยนต์จะทำงานเพียงอย่างเดียวและยังใช้แรงหมุนของเครื่องยนต์ไปปั่นไฟเก็บไว้ในแบตเตอรี่ด้วย ช่วงเร่งแซงจะเป็นการจับมือกันระหว่างเครื่องยนต์กับมอเตอร์ไฟฟ้า เพื่อสร้างแรงบิดสูงสุดถึง 590 นิวตัน-เมตร ทำให้ใช้เวลาสั้นๆ ในการทำความเร็วก็สามารถแซงผ่านไปได้แล้ว
ช่วงรถไหลไม่เกิน 160 กม./ชม. ทุกครั้งที่คนขับยกคันเร่งหรือแตะเบรกเบาๆ เครื่องยนต์จะหยุดทำงานรถจะวิ่งด้วยแรงเฉื่อย โดยเพลายังคงทำงานอยู่ ระบบก็จะนำแรงเฉื่อยจากเพลาไปปั่นมอเตอร์ให้ผลิตไฟฟ้า หากแรงบิดหมดมอเตอร์ก็ช่วยเสริมแรงให้รถวิ่งต่อ ช่วงนี้อาจจะดูหวิวๆ เวลาเข้าโค้งก็ยังคงมีความปลอดภัยอยู่ ช่วงเบรกเครื่องยนต์จะหยุดทำงานทันที ระบบจะอาศัยแรงเฉื่อยไปหมุนแบตเตอรี่เพื่อชาร์จไฟ เมื่อหยุดเครื่องยนต์และมอเตอร์หยุดทำงานแต่แอร์จะทำงานปกติ อาศัยไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ แต่เข้าไฟไม่พอเครื่องยนต์ก็จะรับหน้าทันที
รูปที่เป็นระบบไฮบริดที่ทำงานทั่วๆ ไปเห็นได้จากรถญี่ปุ่นที่นิยมกันแต่คิดต่างกันตรงการนำเครื่องยนต์ดีเซลแรงบิดสูงประหยัดอยู่แล้วมาทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า จึงทำให้ อี 300 บลูเทค ไฮบริดคันนี้ประหยัดขึ้นไปอีก พอคิดเฉลี่ยแล้ว ค่าน้ำมันไม่ต่างกับค่าแก๊สที่พวกรถแท็กซี่เติมกันอยู่