บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) แถลงผลการดำเนินงานในปี 2565 พร้อมแสดงวิสัยทัศน์และแผนการดำเนินธุรกิจในปี 2566 โดยในระดับโลก เมอร์เซเดส-เบนซ์ มีอัตราการเติบโตของยอดขายกว่า 15% จากปีที่ผ่านมา กวาดยอดขายรถในกลุ่ม Passenger Cars กว่า 2,043,900 คันทั่วโลก พร้อมโชว์ตัวเลขการเติบโตของรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% ภายใต้แบรนด์ Mercedes-EQ ที่สูงถึง 124% ด้วยยอดขายกว่า 117,800 คัน โดยมีรุ่นที่ขายดีเป็นอันดับต้นๆ อย่าง EQA และ EQB ในด้านของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย เติบโตถึง 34% ด้วยยอดจดทะเบียนสะสม 13,182 คัน ในปีที่ผ่านมา ยอดขายรถในเซกเมนต์Dream Cars โตขึ้น 28% จากยอดขาย CLS และ C-Coupe ยอดขายรถ SUV เติบโตอย่างต่อเนื่อง ส่วนรถเซกเมนต์Contemporary Luxury อย่าง The new C-Class E-Class และ S-Class โตขึ้น 12% ตามด้วยรถ Top-end Luxury อย่าง Mercedes-Maybach ตัวเลขยอดขายโตขึ้นกว่า 3 เท่าจากปีที่ผ่านมา
ภายใต้การนำของประธานบริหารคนใหม่ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย “มร. มาร์ทิน ชเวงค์” ที่ได้มีการประกาศวิสัยทัศน์ “Ambition to Lead” กับความมุ่งมั่นในการยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศไทยซึ่งสะท้อนผ่านแผนการดำเนินธุรกิจ ทั้งการให้ความสำคัญเกี่ยวกับแผนงานด้านความยั่งยืน (Sustainability) การนำเสนอรถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้า (Electrification) การนำเสนอเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ล้ำสมัย (Technology and Innovation) และการมอบประสบการณ์แบบลักชัวรี่ (Luxury Experience) ตามมาตรฐานของเมอร์เซเดส-เบนซ์ โดยไฮไลท์สำคัญของปีนี้ คือการเปิดตัวรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% ภายใต้แบรนด์ Mercedes-EQ ลงตลาดประเทศไทยทั้งหมด 3 รุ่น เริ่มด้วย EQB 250 AMG Line รถเอสยูวีไฟฟ้า 5 ที่นั่ง ที่ผสานความหรูหราและความสะดวกสบายในทุกมิติ ตอบโจทย์การใช้งานที่หลากหลาย พร้อมเดินทางในทุกเส้นทางด้วยการขับขี่ที่ไร้มลพิษ (Zero-emission) ขับเคลื่อนด้วยขุมพลังมอเตอร์ไฟฟ้าพร้อมแบตเตอรี่แรงดันสูง วิ่งได้ไกลถึง 460 กิโลเมตร ตามมาตรฐาน WLTP ผลิตและนำเข้าแบบ CBU พร้อมเปิดราคาจำหน่ายที่ 3,020,000 บาท
มร. มาร์ทิน ชเวงค์ ประธานบริหาร บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ในปี 2565 ที่ผ่านมา ถือเป็นปีที่เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประสบความสำเร็จทั้งในระดับโลกและในประเทศไทย ท่ามกลางความท้าทายต่างๆ ในอุตสาหกรรมยานยนต์ โดยในปีนี้ เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย จะเดินหน้าด้วยวิสัยทัศน์ “Ambition to Lead” ที่สะท้อนผ่านแผนการดำเนินธุรกิจในทุกมิติ ทั้งในเรื่องของความยั่งยืน (Sustainability) สู่การเป็นองค์กรที่มีความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2582 ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายความยั่งยืนของประเทศไทยที่ตั้งเป้าหมายเป็นประเทศที่มีความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2593 รวมถึงนโยบาย 30@30 ของบอร์ดอีวี ที่จะขยายสัดส่วนของรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในประเทศให้เป็น 30% ภายในปี 2572 ทางเมอร์เซเดส-เบนซ์เองก็ตั้งเป้าหมายในการทำให้รถทุกรุ่นที่อยู่ในพอร์ตของเรา เป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% ภายในปี 2572 เช่นกัน
และสิ่งสำคัญในการทำให้เราบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืน คือการนำเสนอรถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้า (Electrification) ให้กับผู้บริโภค ในระดับโลก เราได้นำเสนอ VISION EQXX รถยนต์ต้นแบบพลังงานไฟฟ้า 100% ที่ผ่านการทดสอบการขับขี่ในสภาพแวดล้อมจริง ด้วยระยะทางมากกว่า 1,000 กิโลเมตร ต่อการชาร์จเต็มเพียงหนึ่งครั้ง สะท้อนให้เห็นว่าเราได้นำยนตรกรรมแห่งอนาคตมานำเสนอให้ทุกคนแล้วในวันนี้ โดยในประเทศไทย เรามีการเปิดตัว EQS 500 4MATIC AMG Premium ที่ถือเป็นรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% ที่มีระยะทางการขับขี่ด้วยไฟฟ้ามากที่สุดในประเทศไทย ด้วยระยะทางกว่า 702 กิโลเมตร ต่อจากชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง ตามมาตรฐาน WLTP ซึ่งผู้บริโภคชาวไทยทุกคนสามารถเป็นเจ้าของยนตรกรรมระดับโลกนี้ได้ที่ผู้จำหน่ายเมอร์เซเดส-เบนซ์ อย่างเป็นทางการ ทั่วประเทศไทย นอกจากนี้ เรายังได้เปิดตัวยนตกรรมในรูปแบบปลั๊กอินไฮบริด อย่าง C 350 e AMG Dynamic ที่เป็นรถ PHEV ในระดับลักชัวรี่ ที่วิ่งได้ไกลที่สุดในประเทศไทย ด้วยระยะทางเกินกว่า 100 กิโลเมตร ต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง
และในปีนี้เราได้วางแผนในการขยาย EV Portfolio ในประเทศไทย ผ่านการเปิดตัวรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% ทั้งหมด 3 รุ่น เริ่มด้วย EQB 250 AMG Line หนึ่งในรถภายใต้แบรนด์ Mercedes-EQ ที่ขายดีเป็นอันดับต้นๆ ของโลก รวมถึงการสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานของรถยนต์พลังงานไฟฟ้าผ่านการร่วมมือกับผู้ผลิตและผู้ให้บริการด้านสถานีชาร์จพลังงานไฟฟ้าชั้นนำ ในประเทศไทย