ชื่อเบนท์ลี่ย์นั้นหลายคนคุ้นเคยกันดีอยู่แล้วในฐานะผู้ผลิตรถยนต์หรูจากประเทศอังกฤษ คู่แข่งของโรลรอยซ์ แต่ค่ายเบนท์ลี่ย์จะเน้นเรื่องความหลากหลายและความแรงมากกว่า ในรุ่นคอนติเนตัล จีที ก็เป็นออกมาในสไตล์รถคูเป้ตัวถังใหญ่ ที่ดูแล้วไม่เทอะทะมากทั้งๆ ที่หุ่นออกจะหนากว่ารถใช้งานทั่วๆไป แต่ด้วยเส้นสายที่ออกแบบมาทำให้ดึงดูดสายตากับคนที่พบเห็นได้เป็นอย่างดี
ภาพภายนอกของคอนติเนลตัล จีทีดูเรียบๆ ไม่หวือหวาเหมือนพวกซูเปอร์คาร์ เน้นการอยู่นานมากกว่า หัวใจหลักอยู่ที่ความสะดวกสบายและขุมพลังที่ซุกอยู่ภายใน
เพื่อความโดดเด่นตรงท้ายรถจะมีท่อไอเสียที่มีปลายท่อแบบ Figure eight พร้อมโลโก้สีแดงประทับอยู่บนฝากระโปรงเพื่อเน้นความเป็นสปอร์ตร่วมสมัย มีการใช้ล้ออัลลอยด์ขนาด 20 นิ้วติดตั้งมาให้
เข้าไปข้างในจะสัมผัสได้จากความหรูหราจากวัสดุที่เลือกมาใช้ระดับพรีเมี่ยมอันเป็นเอกลักษณ์ของค่ายนี้ โดยเลือกใช้ลายไม้ร่วมสมัยอย่าง Dark Fiddleback Eucalyptus ที่ให้ลายไม้ที่โดดเด่นชัดเจน
เบาะนั่งเป็นหนังแท้สามารถเลือกแบบ 2 สีที่ตัดกันได้อย่างลงตัว เป็นเบาะนั่งขนาดใหญ่ที่นั่งได้กระชับ สามารถปรับได้ด้วยไฟฟ้าเพื่อความสะดวก ส่วนแผงคอนโซลก็ดูเรียบๆ มีการออกแบบคอนโซลกลางให้โดดเด่นในรูปแบบของความเป็นสปอร์ตด้วย
ขุมพลังของคอนติเนลทัล จีที จะเป็นเครื่องยนต์ขนาด 4 ลิตร ที่เพิ่มความแรงด้วยเทอร์โบคู่ ที่ให้ความสมดุลระหว่างความแรงกับมลพิษที่น้อยลงเหนือกว่ารถหรูระดับพรีเมี่ยมทั่วๆ ไป เครื่องยนต์ วี 8 ที่วางไว้ในรถรุ่นนี้จะให้กำลังสูงถึง 500 แรงม้าที่ 6,000 รอบต่อนาที โดยมีแรงบิดสูงสุด 660 นิวตัน-เมตร ที่ 1,700 ถึง 5,000 รอบต่อนาที โดยใช้ระบบส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด เพื่อการปรับเปลี่ยนเกียร์ที่รวดเร็ว ทั้งๆที่เสียงเครื่องยนต์นุ่มๆ แต่อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ใช้เวลาเพียงแค่ 5 วินาทีกว่าๆ เท่านั้นเอง โดยสามารถทำความเร็วได้สูงถึง 290 กม./ชม.
ถึงจะเป็นรถแรงแต่การควบคุมก็ทำได้ไม่ยาก ในการเลือกโหมดธรรมดาจะได้ความรู้สึกโคลงๆ ของตัวรถมากหน่อยจากตัวถังที่ใหญ่ แต่พอเลือกโหมดสปอร์ตช่วงล่างทำงานได้กระชับขึ้น การโคลงตัวของรถก็จะมีเล็กน้อย ความแม่นยำของการเข้าโค้งก็จะมากขึ้น การควบคุมรถจะต่างจากพวกสปอร์ตอย่างปอร์เช่ ก่อนจะเข้าโค้งต้องลดความเร็วก่อน เพื่อไม่ให้เกิดเสียงดังของยางจากแรงเหวี่ยงของตัวรถ ซึ่งรถตัวถังใหญ่ขนาดนี้การทำงานของเบรกจะหนักหน่วงกว่ารถสปอร์ตทั่วๆ ไป
แม้ว่าจะเป็นรถแรง แต่เรื่องอัตราบริโภคนั้นถือว่าไม่สูงนัก รวมถึงการปล่อยไอเสียก็น้อยด้วยเมื่อเทียบกับรถระดับเดียวกัน น้ำมัน 1 ถัง จะสามารถเดินทางไปได้ไกลถึง 800 กม. เป็นผลมาจากการสร้างระบบขับเคลื่อนให้มีประสิทธิภาพในการประหยัดน้ำมัน ซึ่งรถรุ่นนี้จะใช้การขับเคลื่อนแบบ 4 ล้อ เพื่อการเกาะถนนที่ดีเมื่อขับขี่แบบธรรมดาที่ไม่ต้องใช้ความเร็วหรือเน้นอัตราเร่ง พอตัวถังได้ความเร็วถึงระดับหนึ่งแล้ว แค่ 4 สูบก็พาตัวรถไปได้แล้ว การเปลี่ยนของจำนวนลูกสูบ จะมีความนุ่มนวลจนผู้โดยสารไม่ได้รับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงนี้
นอกจากนั้นยังมีระบบการฉีดน้ำมันตรงเข้าสู่ห้องเผาไหม้ด้วยแรงดันสูง ใช้แบริ่งที่มีแรงเสียดทานต่ำ ระบบจัดการอุณหภูมิและนำพลังงานมาใช้ใหม่ รวมถึงเทอร์โบที่ช่วยเพิ่มพลังให้กับเครื่องยนต์โดยไม่ต้องใช้เครื่องยนต์ขนาดใหญ่