แคปติวาเป็นรถระดับเรือธงของเชฟโรเลต ที่สามารถกวาดยอดขายไปได้เยอะ เพื่อรองรับคนที่อยากได้รถ 7 ที่นั่งมาใช้งาน ทางเชฟโรเลตจึงมีแคปติวารองรับในจุดนี้ได้พอถึงรุ่นสุดท้ายทางเชฟโรเลตกลับนำรถรุ่นอะไรก็ไม่รู้มาใส่ชื่อแคปติวาแล้วขายราคาเกินล้านไม่แปลกใจที่ไปไม่รอด สำหรับรุ่นนี้จะอยู่ในโมเดลปี 2014 ที่มีการปรับปรุงอุปกรณ์และนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยถูกใส่เข้าไป
รูปโฉมภายนอกถูกปรับเปลี่ยนในส่วนของกันชนหน้าที่ออกแบบให้มีฝาครอบไฟตัดหมอก ทำให้ดูหรูหรามากขึ้น ส่วนกันชนหลังออกแบบใหม่เช่นกันเข้าชุดกับปลายท่อไอเสียโครเมี่ยมและกรอบไฟหลังสไตล์ใหม่ มีบันไดข้างสแตนเลสที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้กับผู้โดยสารสามารถขึ้นไปบนรถได้ง่ายขึ้น เป็นการปรับรูปลักษณ์เพื่อเพิ่มความหรูหราให้กับแคปติวาได้มากขึ้น
จุดเด่นของแคปติวารุ่นนี้ก็คือไม่ต้องใช้การกดรีโมทเวลาปลดหรือกดล็อครถ สามารถเข้าห้องโดยสารได้เมื่อมีกุญแจติดตัว การสตาร์ทเครื่องยนต์ก็แค่บิดปุ่มสตาร์ทโดยไม่ต้องถือกุญแจอยู่ที่มือ ทำให้ได้ความสะดวกมากขึ้น
ภายในห้องโดยสารขนาดใหญ่ที่รองรับได้ 7 ที่นั่ง ก็ไม่มีปัญหาเวลาขับรถตอนแดดจัดๆ เมื่อได้ระบบปรับอากาศแบบดูอัลโซนเพื่อให้ผู้ขับขี่ผู้โดยสารเบาะหน้าสามารถปรับอุณหภูมิได้แบบแยกส่วน อีกทั้งยังมีปุ่มกดแอร์หลัง สำหรับกระจายความเย็นได้ทั่วถึงทั้งคันมาให้ด้วย ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายให้กับผู้โดยสารทุกที่นั่ง
ยามค่ำคืนก็ได้สวิทซ์ควบคุมพวงมาลัยเรืองแสงบนพวงมาลัย ทำให้ผู้ขับขี่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนในช่วงที่แสงสว่างไม่พอ พร้อมปุ่มควบคุมเครื่องเสียงและควบคุมความเร็วอัตโนมัติติดตั้งไว้ โดยมีการตกแต่งยกระดับพื้นผิวของวัสดุทั่วทั้งห้องโดยสารให้มีความสดมากขึ้น ใครที่ชอบเปิดเพลงฟังในรถก็จะได้เครื่องเสียงเทคโนโลยี 3 มิติ พร้อมลำโพง 8 ตัวที่ถูกออกแบบมาสำหรับคุณภาพเสียงที่ดี ช่วยผ่อนคลายเวลาเดินทางได้เป็นอย่างดี
การกระจายความเย็นให้ทั่วถึงทั้งคันก็มีช่องปรับอากาศของผู้โดยสารแถวสามมาให้ มีเบาะนั่งรองรับ 7 ที่นั่ง สามารถปรับพับเบาะแถวหลังสุดให้ราบกับพื้นก็จะมีพื้นที่วางสัมภาระพื้นเรียบกว้างๆ พร้อมกับเบาะนั่งที่ยังรองรับได้ถึง 5 คน โดยมีพื้นที่จัดเก็บสัมภาระมาให้ 930 ลิตร
สำหรับขุมพลังที่วางอยู่ในแคปติวาที่นำมาขับจะเป็นเครื่องยนต์ดีเซล เทอร์โบ แถวเรียง 4 สูบ 2.0 ลิตร DOHC 16 วาล์ว ใช้การจ่ายน้ำมันด้วยระบบคอมมอนเรล แรงดันสูง เครื่องยนต์ดีเซลที่วางได้ความรู้สึกถึงกำลังที่ตอบสนองได้ดีกว่ารุ่นแรกๆ จากแรงบิดที่มีมากถึง 400 นิวตัน-เมตร ที่ 2,000 รอบต่อนาที กำลังสูงสุด 163 แรงม้า ที่ 3,800 รอบ/นาที การนำเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด รหัส GF6 มาใช้ก็เป็นเจนเนอเรชั่นที่ 2 พร้อมกับฟังก์ชั่น DSC เป็นเกียร์ 6 สปีด ที่ใช้ครั้งแรกในเซกเมนท์นี้ของแคปติวาที่เปิดตัวครั้งแรกเมื่อปี 2554
ระบบส่งกำลังเป็นเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด การตอบสนองในความเร็วต่ำอยู่ในระดับพอใช้แต่พอใช้ความเร็วสูงๆ กลับให้อัตราเร่งที่ดีกว่าเมื่อตัวถังลอยตัวไปแล้ว การใช้ความเร็วระดับ 100 กม./ชม. จะอยู่ที่ 1,800 รอบ/ นาที อัตราบริโภคเฉลี่ยอยู่แถวๆ 10 กม./ลิตรการเรียกกำลังออกมาใช้ของแคปติวาดีเซลทำได้ง่ายกว่าเบนซิน เพราะแรงบิดจะมาในรอบต่ำ ตั้งแต่ 1,750 รอบ/นาที ไปจนถึง 2,750 รอบต่อนาที ทำให้การใช้งานในเมืองและนอกเมืองได้สมรรถนะเท่าเทียมกัน ส่วนรอบเครื่องยนต์ที่ต่ำก็ได้ความเงียบในการขับขี่และความประหยัดเชื้อเพลิง ทำให้เครื่องยนต์บล็อกนี้ได้รับความนิยมทั่วทั้งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อีกทั้งยังเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมจากการปล่อยไอเสียต่ำที่สุด
ด้วยตัวถังที่ใหญ่แต่ได้ความมั่นคงในการทรงตัวมีการติดตั้งเหล็กกันโคลงขนาดใหญ่ เพิ่มความมั่นคงให้กับช่วงล่าง โดยใช้ระบบกันสะเทือนหน้าอิสระแม็คเฟอร์สันสตรัท ด้านหลังจะเป็นมัลติลิงค์ ซึ่งช่วยให้การควบคุมของแคปติวาเพิ่มความปราดเปรียวมากขึ้น อีกทั้งยังมีระบบช่วงล่างอัตโนมัติเพื่อรักษาความสูงของตัวรถ ไม่ว่าจะบรรทุกหนักแค่ไหนเป็นการรักษาเสถียรภาพและการควบคุมได้คงที่