ซิตี้ อี:เอชอีวี เป็นยนตรกรรม Full Hybrid รุ่นแรกของเซกเมนต์ซิตี้คาร์ ที่มาพร้อมระบบ Sport Hybrid i-MMD และเทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ ฮอนด้า เซนส์ซิ่ง (Honda SENSING) ที่สามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์อันหลากหลายของลูกค้าได้ดีขึ้น และช่วยทำให้ศักยภาพในการทำตลาดของฮอนด้าในเซกเมนต์ซิตี้คาร์แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น
ฮอนด้า ซิตี้ อี:เอชอีวีถูกออกแบบตามแนวทางวิสัยทัศน์ 2030 ที่มีเป้าหมาย 2 ทิศทางหลัก ด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อก้าวไปสู่สังคมปลอดมลพิษด้วยเทคโนโลยีพลังงานไฟฟ้าประสิทธิภาพสูงจากเทคโนโลยีในการจัดการพลังงานต่าง ๆ ภายใต้ ฮอนด้า อี:เทคโนโลยี โดยระบบขับเคลื่อนไฮบริดจะใช้ชื่อ อี:เอชอีวี (e:HEV) และด้านความปลอดภัยเพื่อก้าวไปสู่สังคมปลอดอุบัติเหตุ จากการติดตั้งเทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ ฮอนด้า เซนส์ซิ่ง (Honda SENSING) เทคโนโลยีเหล่านี้ได้ถูกนำมาติดตั้งในฮอนด้า ซิตี้ อี:เอชอีวี รถยนต์Full Hybrid รุ่นแรกในตลาดซิตี้คาร์เมืองไทยอาจจะดูแพงกับราคา 839,000 บาทที่สูงที่สุดในรถฮอนด้าซิตี้ แต่สิ่งที่มีมาให้ก็ถือว่าคุ้มค่ากับสิ่งที่มีมาให้ในรถรุ่นนี้
เมื่อดูภายนอกบอกยากถึงความแตกต่างจากซิตี้รุ่นอื่นนอกจากโลโก้ฮอนด้าสีฟ้าและสัญลักษณ์ e:HEVเพื่อตอกย้ำความเป็นไฮบริดติดเอาไว้เท่านั้น โดยได้ชุดแต่งสไตล์ RS รอบคันที่ดูเป็นสปอร์ตหน่อยในรถรุ่นนี้จะได้ไฟหน้าแบบ LED มีระบบเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติและระบบปิดไฟหน้าอัตโนมัติ เมื่อดับเครื่องยนต์ พร้อมไฟส่องสว่างสำหรับการขับขี่ในเวลากลางวันแบบ LED ไฟตัดหมอกคู่หน้าแบบ LED กระจังหน้าแบบ Gloss Black พร้อมโลโก้ฮอนด้าสีฟ้าที่บ่งบอกถึงความแตกต่าง
โครงสร้างตัวถังแบบ Wide & Low ที่ให้ความสปอร์ตปราดเปรียวด้วยเส้นสายที่เฉียบคม กระจกมองข้างสีดำแบบสปอร์ต ปรับและพับไฟฟ้าพร้อมไฟเลี้ยวในตัว เสาอากาศแบบครีบฉลามพร้อมล้ออัลลอยขนาด 16 นิ้ว ดีไซน์สปอร์ต สปอยเลอร์หลังแบบ Gloss Black พร้อมสัญลักษณ์ RS และ e:HEV
ห้องโดยสารเน้นความเรียบง่าย ทันสมัย และแฝงความประณีตด้วยการออกแบบพื้นที่ให้สอดคล้องกับสรีระ มีความกว้างขวางสะดวกสบายในทุกมิติทั้งผู้ขับขี่และผู้โดยสาร ให้ความรู้สึกหรูหราและสวยงามด้วยโทนสีดำ ใช้เส้นสายแนวนอนเพื่อช่วยเพิ่มความรู้สึกโปร่งโล่งและสะดวกสบายในการขับขี่
คอนโซลหน้าแบบ Piano Black พร้อมที่วางแก้วน้ำส่วนคอนโซลกลางมาพร้อมที่วางแขนขนาดใหญ่ พนักเท้าแขนด้านหน้าและด้านหลัง พร้อมที่วางแก้วน้ำ มือจับเปิดประตูด้านในตกแต่งโครเมียม ส่วนที่แตกต่างอยู่ที่มาตรวัดพร้อมหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบ TFT ขนาด 7 นิ้ว
พวงมาลัยแบบมัลติฟังก์ชัน พร้อมปุ่มควบคุมระบบเครื่องเสียงและปุ่มรับ-วางสายโทรศัพท์และปุ่มปรับเปลี่ยนข้อมูลของจอแสดงผลที่ติดอยู่ตรงก้านพวงมาลัย พร้อมระบบช่วยชะลอความเร็วรถที่พวงมาลัย ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ และช่องปรับอากาศตอนหลัง เพื่อความสะดวกสบายในห้องโดยสาร มาพร้อมช่องจ่ายไฟสำรอง 2 ตำแหน่ง ระบบเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสขนาด 8 นิ้ว แบบ Advanced Touch รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay พร้อม Google Maps และระบบสั่งการด้วยเสียง SIRI พร้อมช่องเชื่อมต่อ USB จำนวน 2 ช่องระบบสตาร์ทเครื่องยนต์ พร้อมเครื่องปรับอากาศด้วยกุญแจรีโมท ระบบควบคุมประตูแบบอัจฉริยะ
ทิ้งความรู้สึกเดิมๆกับระบบไฮบริดของฮอนด้ารุ่นเก่าๆไปแล้วมาเปิดรับกับการขับเคลื่อนด้วยขุมพลังแบบ Full Hybrid ระบบ Sport Hybrid Intelligent Multi-Mode Drive (i-MMD) ด้วยการทำงานอันทรงพลังร่วมกันของมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว ผลิตกำลังออกมาได้ 109 แรงม้าแต่มีแรงบิดเยอะถึง 253 นิวตัน-เมตรที่ 0-3,000 รอบ/นาที ผสานกับเครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร Atkinson-Cycle DOHC i-VTEC 4 สูบ 16 วาล์ว รองรับน้ำมัน E20 ให้กำลัง 98 แรงม้า แรงบิด 127 นิวตัน-เมตร
ส่งกำลังด้วยระบบเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผันต่อเนื่องไฟฟ้า (E-CVT) พร้อมแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออนไว้คอยเก็บประจุไฟฟ้า ที่สามารถตอบสนองทันใจ จึงให้อัตราการประหยัดเกือบๆ 30 กิโลเมตร/ลิตร มีอัตราเร่งที่ต่อเนื่องทันใจกว่าเครื่องยนต์ไฮบริดรุ่นเก่าๆของฮอนด้า
ถึงจะเป็นรถยนต์พลังลูกผสมที่ต้องใช้พื้นที่จัดเก็บแบตเตอรี่ก็ไม่ได้ทำให้พื้นที่เก็บของทางด้านท้ายรถคับแคบลงไป ยังสามารถจัดเก็บได้เยอะอยู่รวมไปถึงด้านล่างของแผ่นปูก็ยังมี2หลุมเล็ก1หลุมใหญ่ไว้เก็บของที่ส่งกลิ่นได้อีกต่างหาก
เหนือกว่าด้วยเทคโนโลยีจากรุ่นพี่ที่ยกลงมาใช้งานในซิตี้ อี:เอชอีวี ทั้งระบบแสดงภาพมุมอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน เบรกมือไฟฟ้า ระบบ Brake Hold อัตโนมัติ ระบบล็อกรถอัตโนมัติเมื่อกุญแจรีโมทอยู่ห่างจากตัวรถ กล้องส่องภาพด้านหลังปรับมุมมอง 3 ระดับช่วยเพิ่มทัศนวิสัยในการถอย สัญญาณไฟฉุกเฉินอัตโนมัติขณะเบรกกะทันหัน ถุงลม 6 ตำแหน่ง ได้แก่ ถุงลมคู่หน้า ถุงลมด้านข้างและ ม่านถุงลมด้านข้าง ระบบช่วยควบคุมการทรงตัวขณะเข้าโค้ง ระบบช่วยการออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชัน
เมื่อเลือกใช้ฮอนด้า ซิตี้ อี:เอชอีวี ก็มั่นใจได้กับการรับประกันอายุการใช้งานแบตเตอรี่ถึง 10 ปี และรับประกันระบบไฮบริดทั้งระบบ 5 ปี ไม่จำกัดระยะทาง พร้อมด้วยโปรแกรมการให้บริการพิเศษ ฮอนด้า อัลติเมท แคร์ เพื่อขยายการรับประกันคุณภาพรถยนต์ใหม่เพิ่มอีก 2 ปีหรือระยะทาง 40,000 กิโลเมตร สูงสุด 5 ปี หรือ 140,000 กิโลเมตร ฟรีค่าแรงในการเช็คระยะเป็นเวลา 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร