วอลโว่ (VOLVO) ผู้นำอุตสาหกรรมยานยนต์ระดับพรีเมี่ยมสัญชาติสวีดิช นำโดย มร.คริส เวลส์ กรรมการผู้จัดการ แต่งตั้งศูนย์บริการซ่อมตัวถังและสีมาตรฐาน VOLVO CERTIFIED DAMAGE REPAIR CENTRE (VCDR) และมอบใบรับรองอย่างเป็นทางการ ให้แก่ บริษัทสแกนดิเนเวียน ออโต้ จำกัด (สาขาหทัยราษฎร์) และ บริษัทนิวตัน บอดี้ แอนด์ เพนท์ จำกัด (ตลิ่งชัน) เพื่อแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการรักษามาตรฐานและการพัฒนาอย่างยั่งยืนของวอลโว่ และเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ลูกค้าผ่านการการันตีคุณภาพงานและประสิทธิภาพของรถยนต์วอลโว่หลังซ่อม เพื่อให้มีสมรรถนะที่ดีเยี่ยมเหมือนวันแรกที่ออกจากโรงงานผลิต ให้ลูกค้าได้อุ่นใจตลอดเส้นทางการเดินทาง และเพื่อมอบประสบการณ์การขับขี่ที่สมบูรณ์แบบอย่างครบวงจร
มร. คริส เวลส์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท วอลโว่ คาร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “จากความมุ่งมั่นของเราในการพัฒนาแผนงานด้านการจัดตั้งศูนย์บริการ Volvo Certified Damage Repair Centre (VCDR) วันนี้เราดีใจเป็นอย่างยิ่ง ที่เราสามารถส่งมอบประสบการณ์การใช้งานที่ดีอย่างครอบคลุมให้แก่ลูกค้าของเรา ไม่ว่าจะเป็นการขับขี่ที่เหนือชั้นบนรถยนต์วอลโว่ทุกรุ่น รวมถึงการบริการซ่อมตัวถังและสีที่ได้มาตรฐานระดับสากลจากศูนย์บริการ VCDR ของวอลโว่ เราจะยังคงเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างสรรค์บริการหลังการขายที่ตอบโจทย์ต่อความต้องการของลูกค้าอย่างดีที่สุด”
ศูนย์บริการซ่อมตัวถังและสีมาตรฐาน VCDR ในประเทศไทย ให้ความสำคัญกับนโยบาย 3 ประการ ในการดำเนินงาน เพื่อส่งเสริมความยั่งยืนให้กับสิ่งแวดล้อมและสังคม ได้แก่
1) การใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยและขั้นตอนการทำงานที่เหมาะสม เพื่อผลงานที่มีคุณภาพ และเพื่อลดผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อสิ่งแวดล้อมและการใช้พลังงานให้ได้มากที่สุด อาทิ
1.1. การใช้เทคโนโลยีสีสูตรน้ำ (Water based paint) ที่เป็นมาตรฐานของวอลโว่ เพื่อลดปริมาณสารพิษที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และบุคคลากรผู้ปฏิบัติงาน
1.2. การติดตั้งแผ่นกรองอากาศ 3 ชั้น ภายในห้องพ่นสี เพื่อกรองและดักอนุภาคขนาดเล็กของฝุ่นและกลิ่นของสีไม่ให้ปนเปื้อนกับอากาศภายนอก และยังสามารถนำอากาศที่ผ่านการกรองแล้วกลับมาหมุนเวียนใช้ใหม่ได้อย่างคุ้มค่า
1.3. การใช้เทคโนโลยีการเคลื่อนย้ายรถด้วยระบบรางมาตรฐาน ในทุก ๆ การกระบวนการซ่อมสี โดยไม่ใช้เครื่องยนต์ในศูนย์บริการ เพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซค์ (CO2) ออกสู่ชั้นบรรยากาศ และยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานในสถานที่ทำงานอีกด้วย
2) การบริหารเวลาการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อการบริการที่รวดเร็ว เพื่อมอบประสบการณ์และความพึงพอใจที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้า
3) การบริหารทรัพยากรอย่างคุ้มค่า เพื่อเพิ่มความคล่องตัวและยืดหยุ่นของธุรกิจในภาพรวม