มาห์เล (MAHLE) ผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ชั้นนำ ปิดงบการเงินปี 2567 ด้วยผลกำไรสุทธิรวม แม้ว่าบริษัทเผชิญกับสภาวะตลาดที่ท้าทาย โดยกำไรจากการดำเนินงาน (EBIT) เพิ่มขึ้นจาก 304 ล้านยูโร เป็น 423 ล้านยูโร ส่งผลให้อัตรากำไรจากการดำเนินงาน (EBIT margin) เพิ่มขึ้นเป็น 3.6% อย่างไรก็ตาม ยอดขายปกติ (organic sales) ลดลง 5.6% สู่ระดับ 11,700 ล้านยูโร โดยมีสาเหตุหลักมาจากตลาดที่อ่อนแอในยุโรปและอเมริกาเหนือ รวมทั้งความต้องการรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่ซบเซานอกประเทศจีน
มาห์เลได้ปรับปรุงผลประกอบการให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องด้วยแผนงานประหยัดต้นทุนและการปรับพอร์ตธุรกิจให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยมุ่งเน้นไปที่ระบบขับเคลื่อนยานยนต์ไฟฟ้า การจัดการความร้อน และเครื่องยนต์สันดาปภายในที่ยั่งยืน ความพยายามเหล่านี้ทำให้บริษัทสามารถลดหนี้สินลง 186 ล้านยูโร พร้อมกับรักษาสภาพคล่องด้วยการรีไฟแนนซ์ที่ประสบความสำเร็จ อย่างไรก็ดี ในอนาคต มาห์เลจะยังคงดำเนินธุรกิจด้วยความรอบคอบ เนื่องจากคาดว่าปัจจัยต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงการจัดเก็บภาษีนำเข้าใหม่ของสหรัฐฯ จะทำให้สภาพตลาดในปี 2568 เผชิญกับความยากลำบากมากยิ่งขึ้น
ธุรกิจส่วนใหญ่ของบริษัทได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ โดยยอดขายปกติของธุรกิจการจัดการความร้อน (Thermal Management) อยู่ที่ 4.1 พันล้านยูโร ลดลง 9.9% ธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์และเมคคาทรอนิกส์ (Electronics and Mechatronics) มียอดขาย 1.3 พันล้านยูโร ลดลงจากปีก่อนหน้า 5.7% ธุรกิจระบบเครื่องยนต์และส่วนประกอบ (Engine Systems and Components) มีรายได้ 2.4 พันล้านยูโร ลดลง 8%อย่างไรก็ตาม ธุรกิจอะไหล่ทดแทน (Aftermarket) มียอดขายเพิ่มขึ้น 6.2% เป็น 1,300 ล้านยูโร โดยปัจจัยหลักมาจากการเติบโตอย่างแข็งแกร่งในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
แม้ว่ายอดขายลดลง แต่มาห์เลสามารถปรับปรุงอัตรากำไรจากการดำเนินงาน (EBIT margin) เป็น 3.6% ความสำเร็จนี้เกิดจากความเด็ดขาดในการปรับพอร์ตธุรกิจ ซึ่งรวมถึงการขายหุ้นในแบร์-เฮลล่า เทอร์โมคอนโทรล (Behr-Hella Thermocontrol: BHTC) และธุรกิจรับจ้างผลิตวาล์วน้ำ (OEM thermostat)นอกจากนี้ มาห์เลยังได้นำมาตรการปรับปรุงกระบวนการและการเพิ่มประสิทธิภาพมาใช้อย่างครอบคลุม ทั้งการปรับโครงสร้างการบริหารและการขายให้เหมาะสม ปรับเครือข่ายการผลิต ขายทรัพย์สินที่ไม่จำเป็น และปรับจำนวนพนักงานให้สอดคล้องกับปริมาณการขายที่ลดลงความพยายามเหล่านี้ช่วยลดหนี้สินของมาห์เลลง 186 ล้านยูโร เหลือ 1,200 ล้านยูโรในปี 2567 อัตราส่วนหนี้สินดีขึ้นจาก 1.5 เป็น 1.2 และด้วยความสามารถในการรักษาสภาพคล่อง บริษัทจึงสามารถเดินหน้าแผนการปรับเปลี่ยนการดำเนินงานต่อไปได้ นอกจากนี้ ส่วนของผู้ถือหุ้นยังเพิ่มขึ้นเป็น 20.1% ซึ่งเพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบห้าปี