ปิดฉากกันไปแล้วสำหรับการพัฒนารถกระบะร่วมกันระหว่างมาสด้กับฟอร์ดที่มีการเน้นจุดขายที่ต่างกันโดยทางมาสด้าจะเน้นภาพลักษณ์ของรูปโฉมที่ดูคล้ายรถเก๋งหรือรถเอสยูวี ที่มีความลู่ลม โดนใจหลายๆคน ฉีกภาพออกไปจากรถกระบะทั่วๆไป
สำหรับในรุ่นนี้ก็เป็นแบบ 4 ประตู เกียร์อัตโนมัติขับเคลื่อน 4 ล้อ ที่ให้ความสะดวกสบายกับการเลือกระบบขับเคลื่อนแบบปุ่มหมุน นั่งสบายกับเบาะทั้งด้านหน้าและด้านหลัง
พวงมาลัยมีความแม่นยำดี ช่วงล่างก็นุ่มหนึบ นั่งสบาย ไม่กระแทกรุนแรงแบบรถกระบะทั่วๆไป ซึ่งการปรับเซ็ตช่วงล่างของมาสด้าถือว่าทำได้ดี พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นก็สะดวกในการควบคุมที่อยู่ใกล้นิ้ว
ค่ายมาสด้าก็มีเครื่องยนต์ 2 รุ่นให้เลือก โดยเปิดตัวด้วยเครื่องยนต์ 2.2 และ 3.2 ซึ่งมีความแตกต่างกัน โดยเลือกเครื่องยนต์แถวเรียง 4 สูบ ขนาด 2.2 ลิตร เป็นเครื่องยนต์พื้นฐาน ส่วนใครที่ชอบความแตกต่างก็มีเครื่องยนต์ 3.2 ลิตรที่เป็นเครื่องยนต์แถวเรียง 5 สูบให้เลือก เครื่องยนต์ 3.2 ลิตร เป็นเครื่องยนต์ Di-THUNDER PRO 3.2 i 5 ซึ่งเป็นเครื่องยนต์ดีเซลแถวเรียง 5 สูบ DOHC 20 วาล์ว พร้อมเทอร์โบแปรผันและอินเตอร์คูลเลอร์ จ่ายน้ำมันด้วยหัวฉีดคอมมอนเรล ไดเร็คอินเจคชั่นที่ทันสมัยที่สุดในปัจจุบัน
เป็นเครื่องยนต์ที่เหนือกว่าคู่แข่งในระดับเดียวกันทั้งแรงม้าและแรงบิด โดยให้แรงบิดแบบแฟลต ทอร์คมีกำลังสูงในรอบต่ำและปานกลางโดยให้กำลังสูงสุด 200 แรงม้าที่ 3,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 470 นิว-ตันเมตร ที่ 1,750-2,500 รอบต่อนาที หากมองกันที่กำลังที่มีมาให้คนที่เห็นก็อาจจะตาลุกโต คิดว่าคงแรงแน่นๆ เพราะตัวเลขที่บอกมานั้นมีมากทั้งแรงม้าและแรงบิด ยิ่งเห็นรุ่น 2.2 แรงติดเท้าด้วยแล้วรุ่น 3.2 คงจะไม่ธรรมดา
ตอนขึ้นไปนั่งประจำที่สตาร์ทเครื่องยนต์แล้วดึงคันเกียร์มาอยู่ที่ ตำแหน่งเกียร์ D ปล่อยเบรกกดคันเร่งจะเห็นแรงดึงตอนออกตัวที่มีค่อนข้างเยอะ เพื่อความสะใจกับสิ่งที่คาดหวังด้วยการกดคันเร่งเพิ่ม แต่ขอโทษทีกำลังไม่มาไม่รู้หายไปไหน ตกใจนึกว่าดึงเบรกมือค้าง ก้มมองดูก็อยู่ในระดับปกติ หลังจากออกตัวไปแล้วอัตราเร่งมาช้าเหมือนกับรถที่ถูกดึงเบรกมือค้างเอาไว้ อัตราเร่งไม่สะใจเท่ากับรุ่น 2.2
เมื่อดูเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ที่มีมาให้ก็น่าจะทำได้ดีกว่านี้ ถือว่าเป็นเกียร์อัตโนมัติที่ดีในรถระดับนี้ มาพร้อมกับระบบ AAS ควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ให้เหมาะสมกับทุกสภาพในการขับขี่และมีระบบ SSC สำหรับเลือกเปลี่ยนเกียร์ได้แบบเกียร์ธรรมดา
ทั้งๆ ทีมีความพร้อมในเรื่องขนาดเครื่องยนต์ จำนวนกระบอกสูบที่มีมากกว่า ได้กำลังที่เหนือกว่า รวมถึงเกียร์ที่มีมาให้ถึง 6 สปีด แต่ไม่สามารถนำความเร้าใจจากเครื่องยนต์ให้ถ่ายทอดผ่านล้อถึงพื้นได้ จึงไม่ได้ความแตกต่างกับรุ่น 2.2 บางครั้งยังรู้สึกด้อยกว่าด้วยซ้ำไป หากอยากจะขายรถรุ่นนี้มากๆ จะต้องกลับไปทำการบ้านใหม่ ปล่อยกำลังออกมาให้เต็มที่เพื่อให้ได้ความแตกต่างจากรุ่น 2.2 อย่างชัดเจน ขาดก็แต่พละกำลังจากเครื่องยนต์ที่จะแรงแบบเครื่องยนต์ 5 สูบ 3.2 ลิตรที่ฟอร์ดเรนเจอร์เคยมีมาให้ จึงยังขาดความเป็นตัวตนของรถแรงที่แท้จริง