นายธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์ รองประธานบริหารอาวุโส บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า สำหรับแผนการตลาดในปี 2566 มาสด้ายังคงมุ่งมั่นเดินหน้าตามแผนงานระยะกลาง (Mid-Term Plan) ผ่าน Retention Business Model ที่ให้ความสำคัญกับการสร้างมูลค่าแบรนด์ (Brand Value Management) ด้วยการยกระดับประสบการณ์ลูกค้าในทุก Touchpoints เพื่อสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าตลอดระยะเวลาที่ครอบครองรถยนต์มาสด้า และสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนให้กับแบรนด์มาสด้าในประเทศไทย โดยกลยุทธ์ด้านต่างๆ สามารถแบ่งออกได้ดังนี้
กลยุทธ์ด้านการตลาด: เสริมสร้างความแข็งแกร่งของแบรนด์มาสด้าด้วยการนำเครื่องมือทางการตลาดที่มีประสิทธิภาพโดยเฉพาะดิจิทัลแพลตฟอร์มมาใช้สื่อสารกับลูกค้าและแฟนมาสด้า แบบ One-to-One Communication รวมถึงการนำฐานข้อมูลมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ผ่านระบบ Global One Customer Data Management System ควบคู่ไปกับการสร้างประสบการณ์และความพึงพอใจของลูกค้าในทุก Touchpoints
กลยุทธ์ด้านการขาย: วางโยบายด้านการขายที่เป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ เพื่อหลีกเลี่ยงการแข่งขันทางด้านราคาและสร้างความพอใจสูงสุดให้กับลูกค้า ควบคู่กับเพิ่มจำนวนลูกค้าที่ชื่นชอบในแบรนด์และผลักดันให้เกิดการซื้อซ้ำมากยิ่งขึ้นด้วยธุรกิจมือสองคุณภาพเหนือระดับ หรือ Mazda CPO เพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับลูกค้าที่มองหารถยนต์มือสองคุณภาพดีที่ผ่านการรับคุณภาพโดยมาสด้า ตลอดจนถึงสร้างความยั่งยืนให้กับแบรนด์มาสด้าในประเทศไทย
กลยุทธ์ด้านผลิตภัณฑ์: นำปรัชญาของการพัฒนาโดยเน้นมนุษย์เป็นศูนย์กลาง (Human-Centricity Philosophy) มาใช้พัฒนาปรับปรุงผลิตภัณฑ์ที่เป็นเอกลักษณ์ของมาสด้าให้ดียิ่งขึ้น เพื่อส่งมอบประสบการณ์ความสุขและความสนุกสนานในการขับขี่ให้กับลูกค้าผ่านการเป็นเจ้าของรถยนต์ ควบคู่กับมุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์การใช้งานในชีวิตประจำวันและพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป โดยวางแผนปรับโฉมผลิตภัณฑ์และเปิดตัวสู่ตลาดในทุกไตรมาสของปี 2566 แต่ในขณะเดียวกัน ก็ได้เตรียมความพร้อมเพื่อเดินหน้าตามพันธกิจสู่ความยั่งยืนภายในปี 2573 หรือ Sustainable Zoom-Zoom 2030 ด้วยการวางรากฐานสู่การนำเสนอรูปแบบพลังงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมภายใต้สถานการณ์และกรอบเวลาที่เหมาะสม เพื่อบรรลุเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้เป็นศูนย์ ภายในปี 2593
กลยุทธ์ด้านการบริการหลังการขายและนโยบายเกี่ยวกับผู้จำหน่าย: ร่วมมือกับผู้จำหน่ายทั่วประเทศในการยกระดับประสบการณ์ลูกค้าทั้งด้านการขายและการบริการหลังการขาย ผ่านทุกวิถีทาง All for Customers เพื่อส่งมอบความพึงพอใจสูงสุดให้กับลูกค้า และมุ่งดูแลลูกค้าในระยะยาวด้วยโปรแกรมบริการหลังการขายที่ช่วยลดภาระค่าใช้จ่าย ควบคู่กับการเดินหน้าสร้างความสัมพันธ์และทำงานร่วมกันกับผู้จำหน่าย ตามแนวทาง One Mazda เพื่อมุ่งสู่ความยั่งยืนร่วมกัน
“ทั้งหมดนี้คือผลการดำเนินงานของมาสด้าในปี 2565 ที่ผ่านมา และแนวทางการดำเนินธุรกิจในปี 2566 เรามุ่งมั่นที่จะมอบช่วงเวลาแห่งความสุขในชีวิตให้กับลูกค้า พันธมิตร และผู้ที่เกี่ยวข้อง เพื่อสร้างแบรนด์มาสด้าให้เติบโตอย่างยั่งยืน ด้วยเทคโนโลยียานยนต์ที่มอบความสะดวกสบายและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ตามวิสัยทัศน์ Sustainable Zoom-Zoom 2030 เพื่อโลก เพื่อสังคม และเพื่อผู้คน ที่ยั่งยืนตลอดไป ” นายธีร์ กล่าวเพิ่มเติม