ความพิเศษอย่างหนึ่งของไอเท็มใหม่อันเป็นเอกลักษณ์ เหมาะสำหรับนักสะสม มีจำนวนจำกัดเพียง 77 คันในโลก ปอร์เช่ 911 จีที3 อาร์ เรนน์สปอร์ต (911 GT3 R rennsport) มาพร้อมตัวถังที่ได้รับการออกแบบอย่างโดดเด่น ผสมผสานรูปลักษณ์อันทรงพลังของรถแข่งสมรรถนะสูงเข้ากับองค์ประกอบการออกแบบที่ทันสมัย ขณะเดียวกันยังสามารถย้อนกลับไปสู่ประวัติศาสตร์มอเตอร์สปอร์ตโดยไม่ต้องมีรูปทรงแบบย้อนยุค ด้านสมรรถนะเบื้องต้นของรุ่น GT3 ดั้งเดิม อาทิ แรงต้านของอากาศ และแรงกดตามหลักอากาศพลศาสตร์ จะยังคงไว้อย่างสมบูรณ์แบบ ในฐานะรถแข่งพันธุ์แท้ ปอร์เช่ 911 จีที3 อาร์ เรนน์สปอร์ต (Porsche 911 GT3 R rennsport) ยังคงสืบทอดฟังก์ชั่นการใช้งานได้สมบูรณ์แบบ อีกทั้งยังเติมเต็มอารมณ์ด้านการขับขี่และมีความน่าดึงดูดอย่างมาก
โดยทั่วไปแล้ว เฉพาะฝากระโปรงหน้าและหลังคาเท่านั้นที่ถูกนำมาจากรุ่นมาตรฐาน GT3 R ส่วนองค์ประกอบอื่นๆ ของตัวถังได้รับการเปลี่ยนแปลง ทีมงานได้นำรูปทรงส่วนหน้าของรถที่ได้รับการปรับแต่งตามหลักอากาศพลศาสตร์มาปรับใช้ รวมถึงช่องอากาศเข้าและท่อระบายความร้อนด้วย นักออกแบบยังได้เน้นการมองเห็นในบริเวณรอบๆ ด้านข้างเพิ่มระยะเพื่อป้องกันความเสียหายที่เกิดจากการกระแทกจากภายนอก ซุ้มล้อหน้า ตอกย้ำรูปลักษณ์ที่ สง่างาม ลืมภาพกระจกมองข้างแบบเดิมๆ แทนที่ด้วยกระจกมองข้างใหม่ในรูปแบบดิจิทัล ประกอบด้วยกล้อง 3 ตัวที่รวมอยู่ในส่วนตัวถังด้านนอกของรถ และจอภาพของที่นั่งคนขับ
การดัดแปลงส่วนท้ายของรถแข่งมีลักษณะเฉพาะที่โดดเด่นเป็นพิเศษ ปีกหลังขนาดใหญ่เป็นหนึ่งในองค์ประกอบหลักที่ปรับรับกับกระแสทางลม การออกแบบของรถชวนให้นึกถึงรถในตำนานอย่าง Brumos Porsche 935/77 ซึ่ง 3 นักแข่งในตำนานอย่าง Peter Gregg ชาวอเมริกัน ,Toine Hezemansชาวดัตช์ และ Rolf Stommelenชาวเยอรมัน ได้นำรถรุ่นนี้คว้าชัยชนะโดยรวมครั้งที่ 7 ให้กับ Porsche ในรายการ 24 Hours of Daytona ในปี 1978ในส่วนท้ายรถ โดดเด่น สะกดทุกสายตา และตัวเลขดาวน์ฟอร์ซ สะท้อนให้เห็นว่า คุณสมบัติของสปอยเลอร์ใหม่สามารถรับแรงกดภายใต้ขีดจำกัดที่กำหนดไว้ตามมาตรฐาน การเพิ่มอุปกรณ์เสริมอีก 3 ตัว เหมาะสำหรับการใช้งานเสมือนรถแข่ง Porsche 962 Le Mans ดีไซน์แถบไฟ LED เชื่อมช่องว่างระหว่างอดีตกับปัจจุบัน การรวมตัวอักษรเรืองแสงคำว่า Porsche ไว้ด้วยกัน ช่วยสร้างลักษณะเฉพาะของส่วนท้ายโป่งหลังแบบเปิดขนาดใหญ่ที่กว้างขึ้น ต่อเนื่องด้วยแผ่นปิดช่องลม สิ่งเหล่านี้ช่วยให้มองเห็นองค์ประกอบทางเทคนิคได้อย่างชัดเจน รวมไปถุงระบบไอเสียที่มีท่อไอเสียคู่อยู่ตรงกลาง
การออกแบบของ 911 GT3 R rennsportยังสะท้อนให้เห็นความเปลี่ยนแปลงด้านตกแต่งภายในเล็กน้อย สำหรับจอภาพจากกล้องภายนอกที่ติดตั้งอยู่บริเวณบังโคลน 2 ตัว จะผสมผสานเข้ากับการตกแต่งภายในได้อย่างกลมกลืน กราฟิกพิเศษสำหรับหน้าจอแสดงผลตรงกลางและหมายเลขรุ่นลิมิเต็ดบนแผงหน้าปัดได้ถูกดีไซน์รูปทรงแบบเดียวของรถแข่ง ในขณะที่ไฟส่องสว่างโดยรอบใช้รูปแบบของไฟหน้าหลัก คุณลักษณะด้านความปลอดภัยทั้งหมดเป็นไปตามมาตรฐาน FIA ที่บังคับใช้ โครงเหล็กเสริมความแข็งแรงของตัวถังรถ (roll cage) ที่แข็งแกร่งเป็นพิเศษติดตั้งที่บริเวณเบาะนั่งคนขับ เช่นเดียวกับ 911 GT3 R ที่มีการใช้งานทั่วโลกทำให้ “rennsport” ถูกจำกัดเป็นรถแข่งที่นั่งเดียว ด้วยรูปลักษณ์ที่โดดเด่นของขอบล้อขนาด 18 นิ้วจาก BBS เป็นหนึ่งในการออกแบบ “รถแข่ง” ที่สะดุดตา ผสมผสานกับระบบเซ็นทรัลล็อคที่ใช้ในมาตรฐานการออกแบบระดับสูงของ Porsche Motorsport และการตกแต่งด้วยสี Dark Silver Metallic เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน
ในแง่ของแนวคิดเรื่องสี โมเดล 911 GT3 R rennsportกำลังสร้างปรากฏการณ์ใหม่ โดยปอร์เช่ได้นำเสนอไอเท็มสำหรับนักสะสมรุ่นใหม่ด้วยตัวถังคาร์บอนบริสุทธิ์ สี Agate Grey Metallic และจะวางจำหน่ายเป็นครั้งแรก โดยมีให้เลือก 7 สี อาทิเช่น Star Ruby และ Signal Orange เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีการออกแบบสีพิเศษ 3 แบบ ซึ่งทำให้สามารถเลือกปรับแต่งเพิ่มเติมได้ โดยธอร์สเทน ไคลน์ (Thorsten Klein) ผู้จัดการโครงการสไตล์ปอร์เช่ของ GT3 R rennsport: ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า “ปอร์เช่ได้รับการหล่อหลอมจากประวัติศาสตร์อันยาวนาน นี่เป็นเรื่องจริงโดยเฉพาะอย่างยิ่งในการแข่งรถ สิ่งนี้ได้สร้างแรงบันดาลใจให้กับเราในเวลาต่อมา แน่นอนว่าเราไม่ได้ต้องการที่จะผลิตให้เหมือนต้นฉบับแต่อย่างใด รวมไปถึงการลงสีแบบย้อนยุค แต่ตัวเลือกทั้ง 3 ที่เรานำเสนอคือการตีความใหม่จากความสมจริงและเป็นการยกย่องประวัติศาสตร์ของแบรนด์อย่างมีศิลปะ”
โดยหลักการแล้ว 911 GT3 R rennsportมีพื้นฐานมาจากรถแข่ง GT3 ในปัจจุบันของปอร์เช่ อย่างไรก็ตาม เมื่อเปรียบเทียบกับ 911 GT3 R ในเจเนอเรชั่นที่ 992 แล้ว รุ่นลิมิเต็ดเอดิชั่นนี้ จะเหนือกว่าข้อกำหนดของการรับรองจากมอเตอร์สปอร์ตด้าน “ความสมดุลของสมรรถนะ” (Balance of Performance – BoP) โดยทีมพัฒนาสนับสนุน Dr.-Ing. แอนเดรียส ซิงเกอร์ (Andreas Singer) ได้เปลี่ยนเสถียรภาพเหล่านี้ให้กลายเป็นรถในสนามแข่งที่ดุดัน สะเทือนอารมณ์ได้มากยิ่งขึ้น ด้วยการปรับแต่งทางเทคนิคมากมาย ผสมผสานการออกแบบที่น่าตื่นตา มาพร้อมพละกำลังของเครื่องยนต์ที่มากขึ้น เบาขึ้น และเสียงเครื่องยนต์คล้ายกับของ 911 RSR อีกหนึ่งผลลัพธ์ที่ทำให้เป็นรถแข่งในสนามที่ร้อนแรงที่สุดเท่าที่ปอร์เช่ (Porsche) เคยผลิตมาสำหรับนักสะสม
เครื่องยนต์บ็อกเซอร์ 6 สูบ 4.2 ลิตรของ 911 GT3 R รอบเครื่องยนต์ 9,400 รอบต่อนาที ให้พละกำลังสูงสุดสูงสุดถึง 456 กิโลวัตต์ (620 แรงม้า) นั่นหมายถึงกำลังมากถึง 148 แรงม้า ต่อปริมาตรความจุกระบอกสูบ 1 ลิตร ซึ่งส่วนใหญ่น่าจะเป็นสถิติสำหรับเครื่องยนต์ของรถแข่ง GT ส่งผลให้มีกำลังมากกว่าหน่วยส่งกำลังแบบเดิมที่สามารถพัฒนาได้สูงสุดถึง 416 กิโลวัตต์ (565 แรงม้า) และขึ้นอยู่กับระดับ BoPที่กำหนด สำหรับเครื่องยนต์ 4 วาล์วระบายความร้อนด้วยน้ำ พร้อมระบบหัวฉีดได้รับการออกแบบให้ทำงานด้วยเชื้อเพลิง E25 รวมไปถึงเชื้อเพลิงไบโอเอทานอล (bio-ethanol) และ reFuelนอกเหนือจากเชื้อเพลิง e-fuels ที่ผลิตขึ้นใหม่ ซึ่งทำให้ความเป็นไปได้ด้านความเป็นกลางทางคาร์บอน การลดลงของแนวโน้มการจุดระเบิดที่ไม่สมบูรณ์ โดยพวกเขาปูทางที่จะพัฒนาเรื่องการเพิ่มประสิทธิภาพของจุดระเบิด เพื่อเพิ่มกำลังอัดในห้องเผาไหม้ทั้ง 6 ห้อง พร้อมลูกสูบและเพลา ที่พัฒนาขึ้นโดยเฉพาะสำหรับเครื่องยนต์ Rennsport GT3 R ให้สมรรถนะที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อใช้เชื้อเพลิง E25 แต่อย่างไรก็ตาม เครื่องยนต์ยังสามารถทำงานโดยใช้เชื้อเพลิงธรรมดาได้เช่นกัน
ระบบส่งกำลังไปยังล้อหลัง รวมถึงระบบเกียร์ 6 สปีด มีต้นกำเนิดมาจาก 911 จีที3 อาร์ (911 GT3 R) โดยมีการปรับเปลี่ยนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น การเปลี่ยนเกียร์ควบคุมแบบอิเล็กทรอนิกส์ อัตราการส่งกำลังของเกียร์เดินหน้าที่เกียร์ 4, 5 และ 6 สอดคล้องกับการตั้งค่า Daytona ของรถแข่ง GT3 ในเกียร์ 6 ด้วยความเร็วรอบเครื่องยนต์ 9,000 รอบต่อนาที ช่วยให้รถมีความเร็วสูงสุดที่สูงกว่าอัตราทดเกียร์ที่สั้นกว่าของ FIA ของ GT3 R ประมาณ 20 กิโลเมตรต่อชั่วโมงสำหรับระบบเสียง เรียกได้ว่าเป็นเวอร์ชันเต็มรูปแบบ, ระบบไอเสียแบบรถแข่งพร้อมปลายท่อไอเสียคู่วางตำแหน่งอยู่ตรงกลางให้เสียงเครื่องยนต์ที่สมจริงและเข้าถึงอารมณ์ได้อย่างเต็มที่ แต่จะมีเวอร์ชันที่เงียบกว่าอีก 2 เวอร์ชัน ที่ติดตั้งตัวเก็บเสียงและแคตตาไลติกคอนเวอร์เตอร์สำหรับสนามการแข่งขันที่มีข้อจำกัดเรื่องเสียงรบกวน
สำหรับโครงสร้างตัวถังนั้นยังคงเป็นพื้นฐานเดียวกับรถแข่ง GT3 โดยระบบส่งกำลังด้านหน้าซึ่งประกอบไปด้วยโครงสร้างกันสะเทือนแบบปีกนกคู่ที่ล้ำสมัย เพื่อทำหน้าที่บังคับล้อ มาพร้อมกับระบบกันสะเทือนแบบมัลติลิงค์ด้านหลัง โช๊คอัพแบบปรับได้ 5 รูปแบบ Porsc he Motorsport ส่งมอบ 911 GT3 R rennsportด้วยการตั้งค่าพื้นฐาน สำหรับการตั้งค่าระบบกันสะเทือนเพิ่มเติมสามารถทำได้โดยใช้แผ่น shims ที่จะสามารถช่วยการตั้งค่าอย่างละเอียดได้จากการใช้เวลาคำนวณอีกหนึ่งเอกลักษณ์สำคัญ ซึ่งถือว่าเป็นจุดขาย คือยางรถแข่งที่มิชลินนำเสนอสำหรับลูกค้า GT3 R rennsportโดยเฉพาะ โดยยางเหล่านี้มีการปรับใช้กับดอกยางคอมปาวน์แบบใหม่เช่นกัน ซึ่งส่งผลลัพธ์ในการ warm-up และสมรรถนะในการขับขี่ที่ดีขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับมิชลิน ไพลอต สปอร์ต เอ็ม เอส9 (S9M) นอกจากนี้การออกแบบยางที่ได้รับการพัฒนาเป็นพิเศษบนแก้มยาง สามารถผสมผสานกับรูปลักษณ์ของรถได้อย่างลงตัว
ระบบเบรกอะลูมิเนียม monobloc สำหรับรถแข่งจาก AP มาพร้อมผ้าเบรกแผ่นรองหลังไทเทเนียม โดยจะลดมวลน้ำหนักรถที่อยู่ใต้สปริงทั้งหมดลงประมาณ 1 กิโลกรัม สำหรับถังนิรภัย FT3.5 ใหม่ มาพร้อมองค์ประกอบเพื่อช่วยการลดน้ำหนักเช่นกัน มีความจุ 117 ลิตร เบากว่ารุ่นก่อนถึง 1 กิโลกรัม และในอนาคตยังสามารถนำไปใช้กับ 911 GT3 R ในการแข่งขันรายการต่างๆ ได้อีกด้วย คุณสมบัติที่ช่วยลดน้ำหนักอีกประการหนึ่งคือการกำจัดระบบปรับอากาศ การระบายอากาศสำหรับผู้ขับขี่ มาจากแนวคิดการระบายความร้อนเบาะนั่งของ 911 GT3 R โดยรวมแล้วนักพัฒนามีเป้าหมายที่จะลดน้ำหนักลงได้ 1,240 กิโลกรัมสำหรับ 911 GT3 R rennsportซึ่งจะเทียบเท่ากับอัตราส่วนน้ำหนักต่อกำลัง 2.0 กก./PS