ปอร์เช่ก้าวเข้าสู่ยุคสมัยใหม่ของการแข่งขันรถยนต์ไฟฟ้ารายการ Formula E ด้วยรถแข่งปอร์เช่ 99X Electric Gen3 ซึ่งได้รับการพัฒนาขึ้นในสำนักงานใหญ่ Weissach โดยรถแข่งพลังงานไฟฟ้าคันดังกล่าวจะถูกเปิดตัวครั้งแรกในวันที่ 14 มกราคม ระหว่างการแข่งขันในรายการ Mexico City E-Prix ณ สนามเปิดฤดูกาลที่ 9 ของรายการ ABB FIA Formula E World Championship โดย รถแข่งปอร์เช่ 99X Electric Gen3 คือปัจจัยสำคัญที่จะส่งผลให้ปอร์เช่เอาชนะการแข่งขัน และคว้าตำแหน่งบนโพเดี้ยมมาครอง นอกจากนี้ในส่วนของนวัตกรรมเทคโนโลยีที่ได้จากการพัฒนา จะกลายเป็นพื้นฐานให้แก่รถสปอร์ตพลังงานไฟฟ้าในสายการผลิตปกติรุ่นอื่น ๆ ต่อไป
รถแข่งเจเนอเรชั่นที่ 3 (Gen3) จะถูกส่งลงสนามในฤดูกาลที่ 9 นี้ มีสมรรถนะความเร็วสูงสุด น้ำหนักเบาที่สุด เปี่ยมล้นด้วยพละกำลัง รวมทั้งมีประสิทธิภาพการใช้พลังงานไฟฟ้าอันยอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่เคยมีมา รถแข่งปอร์เช่ 99X Electric Gen3 ใหม่ มีกำลังสูงสุด 350 กิโลวัตต์ (476 แรงม้า) หรือมากกว่ารุ่นก่อนหน้า (Gen2) ถึง 100 กิโลวัตต์ พลังงานอย่างน้อย 40 เปอร์เซ็นต์ สร้างขึ้นโดยการชาร์จย้อนกลับของระบบ regenerative braking ยกระดับประสิทธิภาพการใช้พลังงานของมอเตอร์ไฟฟ้าสูงสุดถึง 95 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเปรียบเทียบกับเครื่องยนต์สันดาปภายในที่มีประสิทธิภาพประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์
Florian Modlinger ผู้อำนวยการ Factory Motorsport Formula E กล่าวว่า “รถแข่ง Gen3 คันล่าสุด คือตัวแทนของนวัตกรรมเทคโนโลยีในการแข่งขันรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ซึ่งรถแข่งเหล่านี้คือความหวังที่จะปลุกให้การแข่งขันรถยนต์รายการนี้ทวีความน่าสนใจยิ่งขึ้นสำหรับแฟนกีฬา และยกระดับความนิยมไปทั่วทุกมุมโลกให้แก่ Formula E”
สำหรับการแข่งขันรายการ Formula E ฤดูกาลที่ 4 ของปอร์เช่ ทีมแข่ง TAG Heuer Porsche Formula E ส่งรถแข่งปอร์เช่ 99X Electric Gen3 ลงสนาม 2 คัน นอกจากนี้ยังมีรถแข่ง 99X Electric Gen3 อีก 2 คันที่เข้าร่วมกรำศึกจาก Ava-lanche Andretti ในฐานะทีมแข่งอิสระรายแรกของปอร์เช่ในรายการ Formula E ทั้งนี้ Formula E คือการแข่งขันรถยนต์พลังงานไฟฟ้ารายการแรก ซึ่งได้นำพาการแข่งขันกีฬาความเร็วที่น่าตื่นเต้น มาสู่บรรดาแฟน ๆ มอเตอร์สปอร์ตในหัวเมืองใหญ่ทั่วโลก ตั้งแต่ปี 2014 ปอร์เช่เน้นย้ำความสำคัญของ Formula E ที่มีต่อ Porsche Motorsport ด้วยการสนับสนุน รถสปอร์ตพลังงานไฟฟ้า ไทคานน์ เทอร์โบ เอส (Taycan Turbo S) เป็นรถ safety อย่างเป็นทางการของการแข่งขันในฤดูกาล 2023โดยสีตัวถังของรถเกิดขึ้นจากการผสมผสานสีประจำทีมแข่งทั้ง 11 ทีม นอกจากนี้ Formula E ยังเปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของความร่วมมือในการพัฒนาอนาคตของยานยนต์ไฟฟ้าพร้อมกับสร้างคุณค่าให้แก่สังคม อาทิ ความแตกต่างหลากหลาย และการสร้างสรรค์ชุมชน