นอกจากจะยกระดับประสิทธิภาพการใช้พลังงานในภาคการผลิตแล้ว บ๊อชยังวางระบบเพิ่มการเชื่อมต่อเข้าไปในผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับอาคารและการขับเคลื่อน ซึ่งช่วยให้ผู้บริโภคประหยัดพลังงานได้ หนึ่งในผลิตภัณฑ์เหล่านั้น คือ เครื่องมือจัดการพลังงาน ที่บริษัทแนะนำให้ใช้ในบ้าน ที่เมื่อใช้ร่วมกับปั๊มความร้อนและระบบพลังงานแสงอาทิตย์แล้ว อุปกรณ์นี้จะสามารถลดการใช้พลังงานได้ถึงร้อยละ 60 ในด้านการขับเคลื่อน คนขับรถไฟฟ้าก็จะได้ประโยชน์จากบริการ เช่น แบตเตอรี่ระบบคลาวด์ (Battery in the Cloud) ที่ใช้ซอฟต์แวร์อัจฉริยะเข้ามาวิเคราะห์และลดการเสื่อมของแบตเตอรี่ได้ถึงร้อยละ 20
โดยทั่วไปแล้ว การประสานการทำงานของระบบขับขี่อัตโนมัติที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า เข้ากับบริการส่วนบุคคลที่เชื่อมต่อกัน จะเปิดโอกาสให้มีการใช้แอปพลิเคชั่นซอฟต์แวร์ในอีกหลายส่วนมาก คอมพิวเตอร์ยานยนต์คือแกนหลักในการพัฒนาเทคโนโลยีของบ๊อช เพื่อขยายฐานความเป็นผู้นำไปสู่ระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่ทำงานผ่านซอฟต์แวร์ บ๊อชจึงจัดตั้งสายงานใหม่ขึ้นมา คือ Cross-Domain Computing Systems โดยมีพนักงาน 17,000 คนเริ่มทำงานในสายงานนี้ตั้งแต่ต้นปี เป็นการรวมความเชี่ยวชาญทั้งด้านสถาปัตยกรรมฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ สำหรับคอมพิวเตอร์ยานยนต์ เซ็นเซอร์ และหน่วยควบคุมระบบยานยนต์ต่างๆ เข้าด้วยกัน ช่วยลดความซับซ้อนในการพัฒนายานยนต์ และพัฒนาฟังก์ชั่นใหม่ๆ ได้เร็วขึ้น
“เราต้องการเป็นองค์กรชั้นแนวหน้าด้าน AIoT ในทุกๆ ด้านที่เราดำเนินธุรกิจ” ดร.โบลเล่อธิบาย ซึ่งความไว้ใจใน AI เป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่ต้องสร้างให้ได้เป็นพื้นฐาน ก่อนที่จะนำ AI ไปใช้พัฒนาคุณภาพชีวิตและช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ดังนั้น บ๊อชจึงหวังใช้ AI ในภาคอุตสาหกรรม ในการทำหน้าที่อธิบายโลกที่เป็นอยู่ให้เครื่องจักรได้เรียนรู้ แทนที่จะสอนระบบให้ทำเสมือนคน อย่างไรก็ดี การจะทำเช่นนี้ได้ จะต้องมีแนวทางด้านจริยธรรม บ๊อชจึงวางหลักจริยธรรมในการใช้ AI ที่มาจากฐานแนวคิดว่าคนต้องอยู่เหนือการควบคุมของ AI