บีเอ็มดับเบิลยู Z4 M40i เป็นรถสปอร์ตโรดสเตอร์สุดคลาสสิก ที่ทางบีเอ็มดับเบิลยูนำกลับมาโลดแล่นอีกครั้งในความโฉบเฉี่ยวยิ่งกว่าด้วยการผสมผสานทั้งรูปลักษณ์ที่สะท้อนทุกชั่วขณะของความเพลิดเพลินบนท้องถนน ทั้งยังเพียบพร้อมด้วยบรรยากาศสุดหรูหราในห้องโดยสาร และอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน
การออกแบบบีเอ็มดับเบิลยู Z4 ยังคงเอกลักษณ์ความเป็นโรดสเตอร์พันธุ์แท้ด้วยตัวถังเปิดประทุน แบบสองที่นั่ง พร้อมหลังคาผ้าใบที่ทำงานด้วยระบบไฟฟ้า สามารถเปิด-ปิดได้เพียงปลายนิ้วสัมผัสในเวลาเพียง 10 วินาที และรองรับการเปิด-ปิดขณะขับขี่ได้ที่ความเร็วไม่เกิน 50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ส่วนกระจังหน้าทรงไตคู่มาในดีไซน์ใหม่แบบตะแกรง เสริมกลิ่นอายความสปอร์ตคู่กันไปกับกระโปรงหน้าทรงยาว ไฟหน้า LED ที่จัดเรียงในแนวตั้ง และช่องรับลมขนาดใหญ่บริเวณซุ้มล้อหน้า
ขณะที่ส่วนท้ายรถก็ขับเน้นบุคลิกสุดโฉบเฉี่ยวด้วยสปอยเลอร์ที่ผนึกมาเป็นส่วนหนึ่งของฝากระโปรงท้าย ซึ่งซ่อนพื้นที่เก็บของที่มีความจุถึง 281 ลิตร มากกว่าในรุ่นก่อนหน้าถึง 50%
ทุกสัดส่วนของบีเอ็มดับเบิลยู Z4 ได้รับการออกแบบเพื่อเสริมความคล่องแคล่วและเพรียวลมบนท้องถนน กระจายน้ำหนักสู่ล้อหน้าและล้อหลังที่อัตราส่วน 50:50 เติมความดุดันด้วยระบบช่วงล่างสมรรถนะสูง Adaptive M Suspension ระบบเบรก M Sport
เบาะนั่ง จะเป็นหนังแท้ Vernasca และเข็มขัดนิรภัยลาย M เบาะนั่งมีขนาดไม่ใหญ่มากแต่ก็ไม่รู้สึกอึดอ้ดเมื่อเข้าไปนั่ง
แผงคอนโซลวัสดุ Sensatec พร้อมพวงมาลัยหนังแท้ดีไซน์ M และชุดเครื่องเสียงแบบเซอร์ราวด์จาก Harman Kardon
พร้อมระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ในบีเอ็มดับเบิลยู Z4 ครบครันกว่ารถสปอร์ตโรดสเตอร์รุ่นไหน ๆ เพื่อความปลอดภัย และมั่นใจบนทุกเส้นทาง
บีเอ็มดับเบิลยู Z4 M40i เสริมความแรงด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 6 สูบที่ส่งพลัง 387 แรงม้าที่5,800-6,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 500นิวตันเมตรที่1,800-5,000 รอบ/นาที ลงสู่ล้อหลังพร้อมเฟืองท้ายM Sport
ระบบส่งกำลังเป็นเกียร์อัตโนมัติ8จังหวะ แบบSport Steptronic เร่งความเร็ว 0-100 ได้ภายใน 4.5 วินาที ขณะที่ระบบ Driving Experience Control สามารถปรับแต่งลักษณะการขับขี่ให้ตรงกับทุกความต้องการ นับจากการโลดแล่นบนท้องถนนในวันสบาย ๆ ในโหมด COMFORT ไปจนถึงความแม่นยำและเฉียบคมสไตล์สปอร์ตในโหมด SPORT และ SPORT+
ล้ำสมัยขึ้นไปอีกขั้นด้วยระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน Active Cruise Control ที่มาพร้อมฟังก์ชั่น Stop & Go โดยระบบเซ็นเซอร์ 3 ตัวจะใช้คลื่นเรดาร์สแกนถนนข้างหน้าในระยะ 150 เมตร เพื่อรักษาระยะห่างที่คงที่จากรถคันหน้า ส่วนฟังก์ชั่น Stop & Go จะสามารถควบคุมการเร่ง รักษาความเร็ว และเบรกจนรถหยุดนิ่งได้ อีกทั้งสตาร์ทเครื่องยนต์ให้แบบอัตโนมัติ หลังจากเครื่องยนต์ดับไปในช่วงเวลาสั้น ๆ เช่น ในช่วงเวลารถติด และเมื่อรถคันหน้าเคลื่อนตัว ก็สามารถเร่งความเร็วตามคันหน้าไปได้โดยอัตโนมัติ
ขณะที่ระบบ BMW Live Cockpit Professional มาพร้อมกับแผงหน้าปัดแบบดิจิทัลล้วน และหน้าจอทัชสกรีนขนาด 10.25 นิ้ว ที่ทำงานบนระบบปฏิบัติการ BMW Operating System 7.0 ซึ่งรองรับการปรับแต่งทุกคุณสมบัติให้เข้ากับการใช้งานจริงของผู้ขับขี่ และทำงานประสานเป็นหนึ่งกับบริการ BMW ConnectedDrive เพื่ออำนวยความสะดวกในทุกจังหวะ ทั้งยังรองรับการอัพเดทซอฟต์แวร์เพื่อเพิ่มคุณสมบัติในอนาคต นอกจากนี้ ยังรองรับระบบผู้ช่วยส่วนตัว BMW Intelligent Personal Assistant ที่มาพร้อมระบบสั่งการด้วยเสียง เพื่อความสะดวกสบายของผู้ขับขี่มากยิ่งขึ้น