บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย เผยผลการดำเนินงานจากปี 2567 หลังทำผลงานได้อย่างแข็งแกร่งในตลาดท่ามกลางสภาพเศรษฐกิจที่ท้าทาย แม้ว่าตลาดรถยนต์พรีเมียมในภาพรวมจะมียอดจดทะเบียนรถยนต์ใหม่ลดลงถึง 24% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า แต่ทั้งสามแบรนด์ภายใต้บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ยังมีผลงานในตลาดที่ดีกว่าค่าเฉลี่ย ด้วยยอดส่งมอบรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูและมินิรวม 13,659 คัน โดยมินิมียอดจดทะเบียนรถใหม่เพิ่มขึ้น 7.6% มาอยู่ที่ 1,451 คัน ขณะที่บีเอ็มดับเบิลยูทำยอดรวมได้ 12,208 คัน พร้อมรักษาตำแหน่งผู้นำในตลาดรถยนต์พรีเมียมได้ 5 ปีซ้อน สานต่ออีกหนึ่งบทสำคัญในหน้าประวัติศาสตร์แห่งความสำเร็จของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย
มร. เรเน่ แกร์ฮาร์ด ประธานและซีอีโอ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย กล่าวว่า “บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป มีความมุ่งมั่นที่จะยกระดับทั้งนวัตกรรม ความยั่งยืน และความพึงพอใจของลูกค้ามาโดยตลอด และการยึดมั่นในเป้าหมายทั้งสามด้านหลักนี้ ประกอบกับแรงสนับสนุนที่เข้มแข็งจากทั้งทีมงาน พันธมิตร และลูกค้าของเรา ต่างช่วยให้เราสามารถฟันฝ่าสถานการณ์ที่ท้าทายในตลาดไทยได้อย่างมั่นคง ถึงแม้ว่าตลาดรถยนต์ของไทยจะต้องใช้เวลาอีกไม่น้อยในการฟื้นตัวท่ามกลางแรงกดดันจากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ แต่เราก็ยังมองเห็นปัจจัยบวกจากแนวโน้มความเปลี่ยนแปลงที่ยังคงชัดเจนในหลายด้าน เช่น ยอดจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้าในกลุ่ม BEV ของทั้งบีเอ็มดับเบิลยูและมินิที่เพิ่มขึ้นราว 11% จากปีที่แล้ว เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ลูกค้าในประเทศไทยต่างตอบรับมุมมองและวิสัยทัศน์ของเราในอุตสาหกรรมยานยนต์ และเราก็พร้อมที่จะมอบประสบการณ์การขับขี่ที่ดียิ่งขึ้นไปอีก ทั้งในปี 2025 นี้ และปีต่อ ๆ ไป”
ในปี 2567 บีเอ็มดับเบิลยูยังคงรักษาแรงขับเคลื่อนที่ผลักดันให้แบรนด์รั้งอันดับหนึ่งในเซกเมนต์รถยนต์พรีเมียมได้อย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะมียอดจดทะเบียนรถยนต์ใหม่ลดลง 13.6% เมื่อเทียบกับปีก่อน ลงมาอยู่ที่ 12,208 คัน แต่ส่วนแบ่งตลาดของบีเอ็มดับเบิลยูในกลุ่มรถยนต์พรีเมียมกลับเพิ่มขึ้น 5% จากปีก่อน เป็น 39.9% และหากพิจารณาเฉพาะกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้าระดับพรีเมียม บีเอ็มดับเบิลยูก็มีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นกว่า 9.1% มาอยู่ที่ 22.6% ส่วนทางด้านมินิ การยกทัพ New MINI Family มาเปิดตัวในประเทศไทยก็ช่วยให้ยอดจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้าของแบรนด์พุ่งสูงขึ้นกว่า 44% ด้วยยอดรวมเฉพาะรุ่น BEV ถึง 295 คัน สำหรับบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ก็ทำผลงานได้อย่างมั่นคงไม่แพ้กัน ด้วยยอดจดทะเบียนมอเตอร์ไซค์ใหม่ที่ลดลงเพียง 6% หรือคิดเป็นจำนวน 1,011 คัน