นิสสันเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้า 100% สำหรับงานช่วยเหลือฉุกเฉิน ที่ถูกออกแบบขึ้นเพื่อเป็นแหล่งพลังงานเคลื่อนที่ยามเมื่อเกิดภัยพิบัติ หรือสภาพอากาศร้ายแรง สามารถเป็นแหล่งพลังงานเคลื่อนที่สำหรับบ้านเรือนและชุมชนแม้ในเหตุการณ์ปกติ ผ่านโครงข่าย นิสสัน เอเนอจี้ แชร์ ที่สร้างโมเดลการแจกจ่ายพลังงานเพื่อรักษาเสถียรภาพของ อุปสงค์และอุปทานของการใช้
นิสสัน รี -ลีฟ (RE-LEAF) รถยนต์ต้นแบบที่ใช้งานได้จริงถูกพัฒนามาจากรถยนต์นิสสัน ลีฟ รถยนต์ไฟฟ้าที่จำหน่ายสำหรับตลาดมวลชนรุ่นแรกของโลก เพิ่มสมรรถนะให้สามารถลุยไปได้ทุกอุปสรรคเช่นพื้นที่ที่เต็มไปด้วยซากปรักหักพัง ด้านนอกของรถติดตั้งชุดเชื่อมต่ออุปกรณ์ไฟฟ้าขนาด 110 – 230 โวลต์ จากแบตเตอรี่ลิเธียม ไอออน ประสิทธิภาพสูงของนิสสัน ลีฟ
นิสสันพัฒนา “รี-ลีฟ” ขึ้นมาเพื่อแสดงศักยภาพของรถยนต์ไฟฟ้าในการให้ความช่วยเหลือเมื่อเกิดภัยพิบัติ แม้ว่ามันจะเป็นแค่รถยนต์ต้นแบบ แต่เทคโนโลยีนี้ก็ได้ถูกนำมาใช้จริงแล้ว เช่นในประเทศญี่ปุ่นที่นิสสันได้นำรถยนต์ ลีฟ มาใช้เป็นแหล่งพลังงานและพาหนะเมื่อเกิดภัยพิบัติตั้งแต่ปี 2011 อีกทั้งยังได้ร่วมมือกับองค์กรท้องถิ่นกว่า 60 แห่งในการให้ความช่วยเหลือเมื่อเกิดภัยพิบัติ รี-ลีฟ สามารถขับไปยังพื้นที่ศูนย์กลางของภัยพิบัติ และใช้เป็นแหล่งพลังงานเคลื่อนที่สำหรับการกู้ภัย ด้วยการจัดการพลังงานแบบบูรณาการ ทำให้สามารถให้พลังงานไฟฟ้ากับอุปกรณ์ทางการแพทย์ ระบบสื่อสาร ไฟส่องสว่าง ระบบทำความร้อน และเครื่องมือช่วยชีวิตอื่น ๆ
รี-ลีฟ ใช้ความสามารถในการชาร์จแบบสองทางของลีฟซึ่งเป็นคุณสมัติมาตรฐานที่มากับตัวรถตั้งแต่เปิดตัวเมื่อปี 2010 โดยไม่เพียงแต่ ลีฟ จะสามารถ “ดึง” พลังงานออกมาชาร์จแบตเตอรี่ประสิทธิภาพสูง แต่ยังสามารถ “ป้อนพลังงาน” กลับไปยังระบบโครงข่าย หรือ grid ผ่านเทคโนโลยี V2G (Vehicle-to-Grid) หรือส่งไปยังเครื่องใช้ไฟฟ้าโดยตรงผ่านระบบ V2X (Vehicle-to-everything)
นิสสัน ลีฟ อีพลัส (LEAF e+) สามารถเป็นสถานีพลังงานไฟฟ้าเคลื่อนที่ โดยเมื่อชาร์จเต็มสู่ แบตเตอรี่ ขนาดความจุไฟฟ้า 62 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง (kWh) จะสามารถให้พลังงานแก่บ้านหนึ่งหลังในทวีปยุโรปได้ถึงหกวันและเมื่อไฟฟ้ากลับมาใช้งานได้ตามปกติ เราก็สามารถชาร์จไฟกลับสู่ตัวรถใช้สำหรับการเดินทางแบบไร้มลพิษ ซึ่งนิสสัน ลีฟ อีพลัส สามารถวิ่งได้ถึง 385 กิโลเมตร ต่อการชาร์จเพียงหนึ่งครั้ง