หนึ่งในหัวข้อสนทนายอดนิยมในยุคนี้คงหนีไม่พ้นเรื่องเมทาเวิร์ส เทคโนโลยีโลกเสมือนจริง (VR) และเทคโนโลยีอื่นๆ ที่เชื่อมโยงเราเข้ากับโลกเสมือนจริง เทคโนโลยีที่เกิดขึ้นใหม่เหล่านี้ทำให้เรามองเห็นและสัมผัสสิ่งต่าง ๆ ที่ไม่ได้มีอยู่จริงด้วยการผสมผสานโลกดิจิทัลเข้ากับโลกแห่งความเป็นจริง โดยเมื่อเร็ว ๆ นี้นิสสันได้เริ่มใช้เทคโนโลยีนี้สำหรับการฝึกอบรมในบางสายการผลิตรถยนต์ ซึ่งวันนี้ได้เริ่มนำเทคโนโลยี MR มาใช้ในสายการประกอบระบบขับเคลื่อนของรถยนต์ไฟฟ้า (e-powertrain)
โลกเสมือนจริงแต่ละประเภทไม่ว่าจะเป็น VR, AR และ MR แตกต่างกันอย่างไร ที่จริงแล้วแต่ละประเภทมีความแตกต่างกันค่อนข้างชัดเจน VR หรือ Virtual Reality ช่วยให้ผู้ใช้สัมผัสโลกเสมือนจริงจากมุมมองของบุคคลที่หนึ่งผ่านการสวมใส่อุปกรณ์ เช่น ชุดอุปกรณ์ VR ถูกใช้อย่างแพร่หลายในด้านต่างๆ เช่น ความบันเทิง เกม และการเดินทางเสมือนจริง ในขณะที่ AR จะเป็นการเติมเนื้อหาดิจิทัลเข้าไปในโลกแห่งความเป็นจริงเพื่อให้ผู้ใช้งานมองเห็นได้ สามารถใช้เพื่อเสริมข้อมูลหรือนำตัวละครเสมือนจริงเข้าสู่โลกแห่งความเป็นจริง AR ถูกใช้ในหลากหลายรูปแบบ รวมถึงเกมบนสมาร์ทโฟน และระบบนำทาง ส่วน MR คือการผสมผสานระหว่าง VR และ AR โดยที่ MR มีคุณสมบัติการเชื่อมต่อ หรือ ซิงโครไนซ์ระหว่างโลกแห่งความจริงและโลกเสมือนจริง ทำให้ผู้ใช้สามารถสัมผัสและเคลื่อนย้ายวัตถุเสมือนจริงไปรอบๆ ได้โดยใช้มือของตัวเองเทคโนโลยีเหล่านี้เรียกรวมกันว่า Cross Reality (XR)
เมื่อเร็ว ๆ นี้ได้มีการนำแว่นตา MR มาใช้ในการฝึกอบรมขั้นตอนการตรวจสอบสายการประกอบระบบขับเคลื่อนของรถยนต์ไฟฟ้าในโรงงานนิสสันที่เมืองโทชิกิ ประเทศญี่ปุ่นขั้นตอนการตรวจสอบระบบขับเคลื่อนของรถยนต์ไฟฟ้าประกอบด้วยขั้นตอนการตรวจเช็คถึง 30 รายการ ก่อนหน้านี้ อาจารย์ผู้สอนจะฝึกอบรมพนักงานใหม่แบบตัวต่อตัวเพื่อสอนงาน พนักงานใหม่เองได้รับมอบหมายให้ศึกษาคู่มือและวิดีโอต่างๆ เพื่อให้ได้ระดับความชำนาญที่จำเป็น ขั้นตอนนี้ต้องใช้เวลาอย่างมากเนื่องจากความซับซ้อนของงานที่เกี่ยวข้อง ดังนั้นจึงมีการทดลองนำ MR มาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความชำนาญเมื่อสวมแว่นตา MR รูปภาพและข้อความจะขึ้นซ้อนบนระบบส่งกำลังไฟฟ้าจริง ทำให้ผู้เข้ารับการฝึกอบรมสามารถเข้าใจงานได้ทันที ผู้เข้ารับการฝึกอบรมสามารถตรวจสอบความเข้าใจของตนเองได้โดยชี้ไปตรงส่วนที่จะตรวจเช็ค
นิสสันยังได้ทำงานร่วมกับ JATCO ผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่นเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีติดตามการมองเห็น (eye-tracking technology) ฟังก์ชันเหล่านี้ทำให้สามารถบันทึกการมองเห็นของผู้เข้าอบรมได้แม้เมื่ออยู่ลำพัง ทำให้ผู้สอนสามารถตรวจสอบความเข้าใจได้ในภายหลัง อีกหนึ่งความล้ำจากเทคโนโลยีนี้คือ แม้เมื่อระบบขับเคลื่อนของรถยนต์ไฟฟ้าเครื่องจริงไม่สะดวกต่อการฝึกฝน ก็สามารถดูโมเดล 3 มิติ ได้ผ่านแว่นตาเสมือนจริง
ผู้ฝึกอบรมสามารถรีวิว (บนจอมีตัวอักษรขึ้นว่า “ถูกต้อง. ไปที่การทดสอบถัดไป”) หลังจากนั้นผู้สอนสามารถตรวจสอบบันทึกเพื่อประเมินทักษะผลลัพธ์ที่ได้คือ ระยะเวลาการเรียนรู้ลดลงครึ่งหนึ่ง และระยะการฝึกสอนลดลงถึง 90% ระยะเวลาฝึกอบรม จาก 10 วัน เหลือ 5 วันระยะเวลาสอนจาก 10 ชั่วโมง เหลือ 1 ชั่วโมง
การขาดแคลนแรงงานในญี่ปุ่น ที่มีสาเหตุมาจากอัตราการเกิดต่ำและสังคมสูงอายุ เป็นหนึ่งในเหตุผลที่นิสสันนำเทคโนโลยี MR มาใช้ในการผลิต อีกทั้งยานพาหนะในปัจจุบันขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้ามากขึ้น อัจฉริยะมากขึ้น และมีระบบการเชื่อมต่อที่พัฒนามากขึ้น จึงจำเป็นที่จะต้องสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่พนักงานทุกคนสามารถปฏิบัติงานได้อย่างสะดวกสบายและพัฒนาประสิทธิภาพการทำงานของตนได้ ต้องขอบคุณ MR ที่ทำให้พนักงานใหม่สามารถเรียนรู้งานได้เร็วยิ่งขึ้น ทำให้ผู้สอนใช้เวลากับงานขั้นสูงได้มากขึ้น เทคโนโลยีที่เป็นประโยชน์นี้ใช้เวลาการพัฒนาและนำมาใช้เป็นระยะเวลาประมาณ 1 ปี เรามาดูเรื่องราวที่เกิดขึ้นกัน
ในมุมมองของคาซุกิ ชิมิซุ วิศวกรด้านระบบและสิ่งอำนวยความสะดวกซึ่งดูแลการพัฒนา MR ที่โรงงานในโทชิกิ (Kazuki Shimizu, the facilities and system engineer in charge of MR development at the Tochigi Plant) เทคโนโลยีนี้ถือเป็นช่วงการเรียนรู้ที่ให้ประโชน์และมีสิทธิภาพสำหรับทุกคนที่เกี่ยวข้อง จากความสำเร็จที่เมืองโทชิกิ ทำให้นิสสันดำเนินการต่อยอดระบบนี้ที่เป็นวิสัยทัศน์แห่งอนาคตไปยังสายการผลิตอื่น ๆ
ปัจจุบันนิสสันใช้เทคโนโลยี XR ในการทำงานที่หลากหลาย อาทิ แผนกออกแบบใช้เทคโนโลยีนี้ร่วมกับเทคนิคการสร้างโมเดลรถยนต์จากดินน้ำมัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการปรับปรุงแก้ไข นอกจากนี้นิสสัน ยังได้เนรมิตพื้นที่ประสบการณ์แบรนด์นิสสัน ครอสซิ่งซึ่งตั้งอยู่ในเขตกินซ่า กรุงโตเกียวให้เป็นแกลลอรี่เสมือนจริงในเมทาเวิร์ส คลิกที่ลิงค์นี้เพื่อสัมผัสประสบการณ์ใหม่ของการสื่อสารเชิงดิจิทัล