ตลาดรถยนต์ในประเทศไทยได้เผชิญกับความท้าทายอย่างมากในปี 2567 เนื่องจากปริมาณการซื้อขายรถยนต์ใหม่และมือสองมีแนวโน้มที่จะลดลงอย่างรวดเร็ว สาเหตุหลักมาจากสภาพเศรษฐกิจที่ซบเซาและมาตรการเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อจากสถาบันการเงิน คาดว่ามียอดขายรถยนต์ใหม่ประมาณ 560,000 คัน ซึ่งลดลงถึง 28% เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2566 ในขณะที่ยอดขายรถยนต์มือสองในตลาด B2C (Business To Consumer) คาดว่าจะลดลงประมาณ 5% จากปี 2566 ทำให้เป็นการลดลงที่มีความรุนแรงที่สุดในช่วง 6 ปีที่ผ่านมา
ในปี 2567 รถมือสองที่ได้รับความนิยมในการค้นหายังคงเป็นรถกระบะ โดย Isuzu D-Max ยังคงอยู่ในอันดับแรกด้วยการค้นหาประมาณ 530,000 ครั้ง รถซีดาน D-class มือสองทั้ง Toyota Camry และ Honda Accord มีการค้นหา 385,094 และ 219,166 ครั้งตามลำดับ ในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 ราคาขายเฉลี่ยของรถยนต์มือสองยังคงมีแนวโน้มลดลง แต่การลดลงนี้ช้าลงเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงครึ่งแรกของปี 2567 เนื่องจากราคารถยนต์อยู่ในระดับต่ำแล้ว ภายในระยะเวลา 2 ปี ราคาของรถยนต์มือสองลดลงถึง 21%
บริษัท สหการประมูล จำกัด (AUCT) ประเมินว่าปี 2568 ราคาตลาดรถยนต์มือสองจะปรับสูงขึ้นร้อยละ 10-15 อันเนื่องมาจากปริมาณรถยนต์มือสองคุณภาพสูงมีจำกัด คาดการณ์ปริมาณรถยนต์มือสองที่จะเข้าสู่กระบวนการประมูลในปี 2568 อยู่ที่ประมาณ 250,000 คัน ลดลงจากปี 2567 ส่วนปริมาณการซื้อขายรถยนต์มือสองในตลาด B2C คาดว่าจะทรงตัวใกล้เคียงกับปี 2567 ประมาณ 300,000 คัน ในเดือนตุลาคม ปี 2567 คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ได้ตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยแก้ไขปัญหาด้านเครดิตสำหรับบุคคลและองค์กรที่มีการกู้ยืม การปรับลดครั้งนี้คาดว่าจะทำให้ต้นทุนในการกู้ยืมลดลง และกระตุ้นการบริโภคส่วนบุคคลในปีหน้า
ท่ามกลางกระแสรถยนต์จีนราคาประหยัดที่เข้ามาในตลาดมากขึ้น ผู้บริโภคมีทางเลือกในการซื้อรถมากมายขึ้นเรื่อย ๆ นักธุรกิจด้านรถยนต์มือสองจำเป็นต้องพิจารณาปริมาณการรับสินค้าและแหล่งที่มาของสินค้าเพื่อให้แน่ใจว่ามีการหมุนเวียนได้เร็วและมีสภาพคล่องทางการเงิน นอกจากนี้ การส่งเสริมการขายผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัลให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการซื้อของผู้บริโภคจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้นักธุรกิจเพิ่มยอดขายและสูงสุดผลกำไร