ทิศทางการตลาดของ ดูคาติ ประเทศไทย ในปีนี้พร้อมเดินหน้ารุกตลาดเต็มพิกัด โดยจะทยอยปล่อยหมัดเด็ดมาสร้างความตื่นเต้นให้ตลาด และสะกดเหล่าสาวกดูคาติและไบค์เกอร์ให้หันมาชื่นชอบ หลงรักและอยู่กับแบรนด์ดูคาติอย่างยาวนาน โดยหมัดเด็ดแรกของปีที่มั่นใจว่าจะสร้างความกระหึ่มให้กับตลาด รถบิ๊กไบค์ของไทยตั้งแต่ต้นปี คือ การยกทัพรถจักรยานยนต์ดูคาติรุ่นใหม่มาเปิดตัวพร้อมกันทีเดียวถึง 10 รุ่น เรียกว่าครบทุกเซกเมนต์ ครอบคลุมตั้งแต่ กลุ่ม Heritage อัดแน่นไปด้วยกลิ่นอายของความสำเร็จและความพิเศษของการออกแบบลวดลายบนตัวถัง กลุ่ม Sport Naked ที่สามารถขับขี่ได้ทั้งในเมืองและเท่ได้ในทุกที่ที่ไป กลุ่ม Touring รถคู่ใจ ลุยไปให้สุดในทุกสภาพถนน พร้อมเทคโนโลยีความปลอดภัยที่มาแบบครบครัน กลุ่ม Cruiser เท่ นุ่มลึก แต่แฝงไปด้วยความดุดัน และกลุ่ม Super Sport ความแรงที่มาพร้อมความหลงไหลของการแข่งขันในสนาม โดยแต่ละกลุ่มจะมีรถรุ่นใหม่เปิดตัวมากกว่า 2 รุ่น ด้วยกัน รวมไปถึงรถรุ่นพิเศษที่มีเพียงไม่กี่คันในประเทศไทย เพื่อเพิ่มความพิเศษและน่าสนใจให้กับกลุ่มตลาดรถบิ๊กไบค์มากขึ้น
กลุ่ม Heritage
เริ่มต้นกับน้องใหม่ที่มาพร้อมความโดดเด่นกับสีและงานดีไซน์อย่าง Scrambler 1100 Tribute Pro รุ่นเฉลิมฉลองความสำเร็จครบรอบ 50 ปี เครื่องยนต์ L-Twin 2 สูบ ของดูคาติ มาพร้อมกับดีไซน์คลาสสิคเหนือกาลเวลา และ Logo ที่พาย้อนกลับไปในยุค 70 กับราคาสุดคุ้มเพียง 575,000 บาท
Scrambler Urban Motard การผสมผสานที่ลงตัวของโมเดิร์นคลาสสิคและโมตาส พร้อมลวดลายกราฟฟิตี้ที่โดนเด่นเป็นเอกลักษณ์ สีแดงแบบเดียวกับรถแข่งใน Moto GP ในราคาเบาๆ เพียง 464,000 บาท
กลุ่ม Sport Naked
Streetfighter V2 เท่ ในแบบอิตาเลียนดีไซน์ สานต่อความสำเร็จจาก Streetfighter V4 ที่มีการออกแบบที่สวยงาม โดดเด่นไม่เหมือนใคร แถมยังได้รับรางวัล ‘’The most Beautiful’’ ในงาน Eicma ปี 2019 พร้อมผสมผสานกับเครื่องยนต์ Superquadro จาก Panigale V2 ราคาประมาณการไม่เกิน 750,000 บาท
อีกรุ่นที่ดูคาทีสต้าต่างรอกันอย่างใจจดใจจ่อกับ Streetfighter V4 SP ที่มีเพียง 3 คัน เท่านั้น ในประเทศไทย นี่คือการกำเนิดของ King of naked bike กับการอัพเกรดวัสดุอุปกรณ์ที่ได้ส่งต่อมาจาก Superleggera V4 ล้อ Carbon น้ำหนักเบา ทรงพลัง และแข็งแรงทนทาน Dry-Clutch คลัชแห้งที่เป็นเอกลักษณ์ของ Ducati ถอดแบบมาจากรถแข่งในรายการระดับโลกอย่าง World Superbike [WSBK] ราคาประมาณการไม่เกิน 1.6 ล้านบาท
กลุ่ม Touring
Multistrada V2 สายท่องเที่ยว ทัวริ่ง จากความสำเร็จที่มีใน Multistrada 950 S ถูกนำมาต่อยอดและพัฒนาให้รถ Multistrada V2 มีความคล่องแคล่วมากยิ่งขึ้นด้วยเครื่องยนต์ 937cc Testastretta 11° ที่สมูทกว่าที่เคยเป็น นอกจากนี้ ชุดคลัชและเกียร์ยังถูกปรับปรุงให้ดีขึ้น และใช้งานง่ายมากกว่าเดิม น้ำหนักตัวที่เบาลงถึง 5 กิโลกรม ตัวเบาะยังถูกออกแบบใหม่ให้พื้นที่ระหว่างขาแคบลง ยืนคร่อมได้อย่างมั่นใจมากยิ่งขึ้น ราคาประมาณการไม่เกิน 7 แสนบาท
ขณะที่ Multistrada V4 Pikes Peak รุ่นใหญ่ที่มียอดจองสูงที่สุดในเดือนมกราคมที่ผ่านมา สุดยอดรถ Sport
touring ที่คว้ารางวัลการแข่งขัน Pikes Peak International Hill Climb มาในพละกำลังมากถึง 170 แรงม้า ถือว่าเป็นรถทีแรงม้าสูงที่สุดในโลกของตระกูล Touring Adventure มาพร้อมกับ ล้อหน้า 17 นิ้ว เพิ่มความ Sport เร้าใจ, Single side swing-arm ที่ล้อหลัง ระบบกันสะเทือนไฟฟ้าจาก Öhlins เต็มระบบ มาพร้อมกับราคาสุดคุ้มค่า ประมาณการไม่เกิน 1.5 ล้านบาท
DesertX ได้รับแรงบันดาลใจในการออกแบบจากรถแข่ง Rally ในยุค 80 (Post – Heritage) อัดแนนด้วยเทคโนโลยีอันทันสมัย ครั้งแรกกับ Ducati ที่ใช้ล้อหน้า 21 นิวและล้อหลัง 18 นิ้ว พร้อมกับโหมดการขับขี่ 6 โหมด ความพิเศษของ Desert X คันนี้นอกจาก โหมดการขับขี่ที่มีมากถึง 6 โหมดแล้วยังมีถังน้ำมันสำรองเสริมที่ด้านหลังขนาด 8 ลิตรอีกด้วย ซึ่งเป็นรุ่นที่ได้รับการตอบรับอย่างล้นหลามตั้งแต่ครั้งแรก พร้อมลุย และให้ความสนุกสนานในการขับขี่กับโหมดแรลลี่ ดูคาติ ประเทศไทย จัดให้ในราคาประมาณการเพียงไม่เกิน 7 แสนบาท
กลุ่ม Cruiser
Xdiavel เป็นรุ่นพิเศษที่นำเข้ามาเพียงไม่กี่คันในประเทศไทย เท่ สุขุม นุ่มลึกกับสีพิเศษ สนนราคาไม่เกิน 1.2 ล้านบาท
กลุ่ม Superbike
สายสปอร์ต รักความเร็ว กับเทคโนโลยีสนามแข่งในรุ่น Panigale V4 รุ่น model ปี 2022 ได้มีการ อัพเกรด Winglets สามารถสร้างแรงกดจาก Aerodynamics ได้ถึง 37 kg. ในความเร็วที่ 300 Km./h เหนือชั้นกับเครื่องยนต์ Desmosedici Stradale ที่ถอดแบบมาจาก รถแข่ง MotoGP ชุดเกียร์ที่อัพเกรดใหม่ทั้งหมด ซึ่งถูกถอดแบบ Ratio มาจาก WSBK สับเกียร์ได้ อย่างรวดเร็ว แม่นยำแถมยังสร้างแรง Engine brake ได้ดียิ่งขึ้นและควบคุมได้ดีขึ้น มาพร้อมกับการอัพเกรดโช๊คหน้าจากแบรนด์ระดับโลกอย่าง Öhlins โช๊คไฟฟ้า อัจริยะ
และสุดยอดรถซุปเปอร์ไบค์ กับ PanigaleV4 SP2 ที่มีเพียง 5 คัน เท่านั้นในประเทศไทย มาพร้อมดีไซน์สะดุดตา ดุดัน ร้อนแรง ถังน้ำมันอัลลอยด์แบบเปลือย รวมไปถึงวงล้อคาร์บอนไฟเบอร์ที่ให้น้ำหนักที่เบากว่าล้อที่ติดตั้งในรุ่นปกติถึง 3.4 กก. ราคาประมาณการไม่เกิน 1.7 ล้านบาท