บริษัท คฑาทอง ทรานสปอร์ท จำกัด ซึ่งเป็นผู้นำด้านการให้บริการรถรับส่งพนักงานในนิคมอุตสาหกรรมภาคตะวันออก เดินหน้าแผนการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยได้ทำการศึกษาและเตรียมความพร้อมมาแล้วประมาณ 3 ปีที่ผ่านมา คาดว่าไม่เกิน 2 ปี จะสามารถนำบริษัทฯ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้สำเร็จ
นายพงษ์พันธ์ หงษ์ทอง กรรมการผู้จัดการบริษัท คฑาทอง ทรานสปอร์ท จำกัด เปิดเผยว่าในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา คณะผู้บริหารบริษัทฯ ได้เร่งศึกษาแผนการนำบริษัทฯ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และเตรียมแผนการปรับองค์กรและระบบการเงินให้สอดคล้องกับหลักเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งขณะนี้ทีมงานตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้อำนวยความสะดวกด้านข้อมูลและข้อปฏิบัติและรายละเอียดในการนำบริษัทฯ เข้าจดทะเบียนบริษัท คฑาทอง ทรานสปอร์ท จำกัด ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2542 ด้วยทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท และมีรถตู้รับส่งพนักงานเพียง 2 คัน และสามารถดำเนินธุรกิจเจริญเติบโตมาอย่างต่อเนื่อง จนถึงปัจจุบันได้เพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 20ล้านบาท มีรถให้บริการรวมทั้งสิ้นเกือบ 500 คัน โดยแบ่งเป็นรถบัสประมาณ 200 คัน รถตู้ประมาณ 240 คัน และรถเช่าสำหรับผู้บริหารอีก 30 คัน
นายพงษ์พันธ์ กล่าวว่านอกจากตัวรถที่มีคุณภาพสูงตามความต้องการของบริษัทฯ แล้ว วอลโว่ บัส ประเทศไทย ยังมีบริการ Service Contract Gold Package เพื่อรับประกันการบำรุงรักษาระหว่างการใช้งานที่บริษัทฯ สามารถกำหนดต้นทุนได้ชัดเจนตลอดอายุการใช้งาน ทำให้การเสนอราคาแก่ลูกค้ามีความแม่นยำและคงที่ สามารถบริหารต้นทุนได้เป็นอย่างดี สามารถแข่งขันกับผู้เล่นอื่นในตลาดได้ ซึ่งเป็นประเด็นที่สำคัญที่ทำให้ลูกค้ายอมรับการให้บริการของ คฑาทอง ในช่วงวิกฤติ COVID-19 ว่าเป็นผู้ให้บริการที่ดีในราคาที่ไม่มีการปรับเพิ่มเติม แม้จะอยู่ในช่วงวิกฤติ
“สาเหตุที่เราเน้นวอลโว่ บัส เพราะหลายปีที่ผ่านมา เราได้พูดคุยกับทีมงานฝ่ายขายของวอลโว่ บัส ประเทศไทยให้ประสานงานกับทีมโรงงานประกอบตัวถังที่ประเทศมาเลเซีย ถึงการปรับปรุงคุณภาพตัวแชสซีส์ และตัวถัง รวมไปถึงการตกแต่งภายในของวอลโว่ บัส อย่างต่อเนื่อง ทำให้เราได้รถที่ดีที่สุดเท่าที่เราเคยมี ทั้งในรูปของความแข็งแรงคงทน ผ่านมาตรฐานการผลิกคว่ำ UN ECE R66 ที่เป็นผู้ประกอบการรายแรกที่นำมาใช้จริงในประเทศไทย เพื่อความปลอดภัยและความสะดวกสบายของผู้ใช้รถของเรา โดยเราได้สั่งซื้อรถประกอบสำเร็จรูปวอลโว่ บัส จากประเทศมาเลเซียในปี 62 จำนวน 12 คัน และปีนี้อีก 12 คัน” นายพงษ์พันธ์ กล่าว