เป็นงานใหญ่งานหนึ่งของค่าย Royal Enfield กับกิจกรรม One Ride ที่รวมพลผู้ขับขี่ Royal Enfield ได้เจอะเจอกัน ก่อนหน้านี้จะติดเรื่องโควิดจึงจัดงานใหญ่แบบนี้ไม่ได้ มาปีนี้เมื่อมาตรการผ่อนคลายลงก็มีการจัดกิจกรรมOne Ride 2022 ขึ้นมาโดยมีการรวมพลจากดีลเลอร์ต่างก่อนจะรวมตัวกันยังจุดหมายที่นัดกันไว้
สำหรับ Royal Enfield เองก็มีการนัดหมายกันที่ตึก CW Tower ตรงรัชดาภิเษกซึ่งมีแฟนๆ Royal Enfield มารวมตัวกันที่จุดนี้มากมายก่อนออกเดินทางไปยังจุดนัดหมายที่ถนนอักษะ พุทธมณฑลสาย3 ซึ่งเป็นถนนที่สวยงามเส้นหนึ่ง ก่อนที่จะไปลอกผักตบชวาที่คลองทวีวัฒนา
สำหรับรถคู่ใจที่ใช้เดินทางในครั้งนี้จะเป็น Royal Enfield 350 Hunter ที่เปิดตัวเป็นรุ่นล่าสุดเมื่อไม่นานมานี้ โดยรถรุ่นนี้มีการออกแบบเฟรมใหม่ในสไตล์ half duplex ที่ห้อยมายึดไว้กับด้านหน้าเครื่องยนต์ช่วยลดพื้นที่ ทำให้ใต้ท้องโล่งขึ้นอีกทั้งมีน้ำหนักเบาลงอีกต่างหาก
เนื่องจากการปรับรูปแบบใหม่จึงต้องออกแบบถังน้ำมันใหม่ให้ขนานกับพื้นมากขึ้นไม่ยกด้านหน้าสูงแบบเมธิออเพื่อให้มีความยาวอยู่ในระดับพอดี เป็นถังน้ำมันที่ออกแบบความโค้งให้เข้ากันพอดีกับเส้นโค้งของเบาะนั่ง ด้านล่างของถังน้ำมันจะห้อยต่ำลงอยู่ใกล้ฝาวาล์วมากขึ้น ฝาปิดถังน้ำมันก็เตี้ยลงไม่ดูเทอะทะแบบเก่าใช้งานง่าย โดยถังน้ำมันจะมีความจุ 13 ลิตร
ตัวรถถูกปรับให้มีท่านนั่งที่สามารถควบคุมรถได้ง่าย เมื่อขึ้นไปคร่อมบนเบาะที่สูงจากพื้น 790 มิลลิเมตร เบาะนั่งถูกออกแบบให้เป็นชิ้นเดียวแต่มีพื้นผิวมีสันนูนขวางเพื่อไม่ให้ลื่น การออกแบบในช่วงหน้าเว้าลงทำให้คนเอเชียสามารถขึ้นไปคร่อมแล้ววางเท้ากับพื้นได้อย่างเต็มที่ ความสบายของเบาะนั่งจะมากกว่ารุ่นพวก 650 แต่ก็น้อยกว่าเมธิออเนื่องจากด้านหน้าจะแคบกว่า
ความคล่องตัวของ Hunter 350 มาจากการปรับฐานล้อให้สั้นลงเป็น 1,370 มม. จากการเลือกใช้โครงสร้างเฟรมของ แฮริส เพอฟอร์มานซ์ ที่ปรับเลื่อนได้สูง มีขนาดกะทัดรัดขึ้นน้ำหนักเบาลง จึงได้ความคล่องตัวมากขึ้นในการใช้งาน
ความมั่นคงในการควบคุมมาจากแฮนที่กว้างเป็นโครงเหล็กเส้นเดียวแต่มีความแข็งแรง ยึดจับด้วยตุ๊กตาตัวเตี้ยๆสามารถปรับยกหรือกดต่ำให้เหมาะกับสรีระของแต่ละคนได้ โดยรูปทรงพื้นฐานยังคงเน้นความเรียบง่ายคลาสสิค ชุดโคมไฟหน้าทรงกลมใช้หลอดฮาโลเจน ส่วนไฟเลี้ยวก็จะยื่นออกมาในระดับเดียวกันกับโคมไฟหน้า
ชุดไฟท้ายจะใช้โคมไฟทรงกลมเป็นแอลอีดีตั้งอยู่ในตำแหน่งที่สูงอยู่หลังโครงมือจับสำหรับคนซ้อน ส่วนไฟเลี้ยวจะเป็นแบบเรียวไม่ได้เป็นทรงกลมเหมือนกับทางด้านหน้าอยู่ในระดับเดียวกับไฟท้าย
ด้วยรูปทรงในแบบรถโรสเตอร์ที่ผสมผสานความทันสมัยและความคลาสสิคเข้าด้วยกัน มีการออกแบบให้มีขนาดกะทัดรัดเพื่อความคล่องตัวในการใช้งานในเมืองที่เร่งรีบรวมไปถึงการเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆได้อย่างมั่นใจ ระบบกันสะเทือนด้านหน้าที่ใช้ก็เป็นแบบเทเลสโกปิกของโชว่าขนาด 41มม.มีช่วงยุบ 130 มม. มียางกันฝุ่นมาให้พร้อม สำหรับเบรกเป็นดิสเบรกจานเดียวติดไว้ด้านขวาขนาด 300 มม. 2 ลูกสูบมีเอบีเอสมาให้ ส่วนล้อในรุ่นจะเป็นล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้วพร้อมยาง 110/70 R17
ระบบกันสะเทือนหลังเป็นแบบโช๊คอัพคู่วางบนสวิงอาร์มสามารถปรับพรีโหลดได้6ระดับมีช่วงยุบ 102 มม. จานเบรคเดี่ยวขนาด 270 มม. ใช้คาลิเปอร์แบบ1ลูกสูบ ยางที่ใช้กับมีขนาด 140/70 R17
เมื่อขึ้นไปคร่อมจะต้องก้มตัวเล็กน้อยด้วยการวางพักเท้าในแนวเดียวกันกับรอยต่อของเบาะจึงต้องเลือกใช้เกียร์โยง ก้านเปลี่ยนเกียร์มีด้านหน้าเพียงอย่างเดียว ใช้กดลงแล้วงัดขึ้นเป็นเกียร์ 5 Speed ที่มีความนุ่มนวลมากเวลาเปลี่ยนเกียร์ บางครั้งเปลี่ยนเกียร์แบบไม่กำคลัตช์ก็ไม่รู้สึกถึงอาการกระชากใดๆ
สำหรับรุ่นที่ได้ขับขี่ในครั้งนี้จะเป็นรุ่นถังน้ำมัน2สี แผงหน้าปัดจะมี 2 จอกลม โดยจอใหญ่จะเป็นการผสมผสานระหว่างอนาล็อกกับดิจิตอล กรอบนอกจะเป็นอนาล็อกที่มีทั้งกิโลเมตรต่อชั่วโมงและไมล์ต่อชั่วโมง ส่วนตรงกลางจะเป็นดิจิตอลที่มีแถบกราฟบอกระดับน้ำมัน แต่จอเล็กด้านข้างจะเป็นนาฬิกาดิจิตอลมีตัวเลขขนาดใหญ่มองเห็นได้ชัดเจน
เครื่องยนต์ที่ใช้จะเป็นเครื่องยนต์สูบเดียว 4 จังหวะ 349 ซีซี แคมเดี่ยว เพลาลูกเบี้ยว 2 วาล์ว จ่ายน้ำมันด้วยหัวฉีดไฟฟ้า ระบายความร้อนด้วยอากาศด้วยครีบตรงข้างๆเสื้อสูบและใช้น้ำมันระบายความร้อนที่ฝาสูบช่วยลดความร้อนสะสมได้เป็นอย่างดี เป็นเครื่องยนต์ที่มีช่วงชักยาว ลูกสูบขนาด 75 มม. ช่วงชัก 85.8 มม.ท่อไอเสียสั้นได้เสียงที่ต่างออกไปและไม่เกะกะด้วย
กำลังสูงสุดที่ทำได้ 22 แรงม้าที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 27 นิวตันเมตรที่ 4,000 รอบต่อนาที ซึ่งเป็นเครื่องยนต์ที่ทำงานได้ราบเรียบไม่สั่นจากการที่มีบาลานซ์ชาร์ฟเข้าไป อัตราเร่งทำได้ดีแม้ความเร็วสูงสุดจะอยู่ประมาณ 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมงก็ตาม แต่ถือว่าเพียงพอสำหรับการใช้งานด้วยอัตราเร่งที่มาแบบทันอกทันใจแบบนี้สำหรับการใช้งานในเมืองหรือการขับขี่ที่ไม่เน้นความเร็ว