ย้อนกลับไปในยุค 1970 ปอร์เช่ได้รังสรรค์สีพิเศษออกมา นั่นคือหมวดสีซิกนอล (Signal) หรือหมวดโทนสีพาสเทล (Pastel) และในอีก 2 ทศวรรษต่อมา ปอร์เช่ กล้าที่จะสร้างสรรค์กลุ่มสีที่หลากหลายและมีมิติเพิ่มมากขึ้น ตัวอย่างล่าสุดคือสีภายนอกที่ผลิตออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบของปอร์เช่ พาเนเมร่า (Panamera) นั่นคือสีทองเมทัคลิค (Madeira Gold Metallic) ซึ่งเป็นโทนสีทองคอนยัค (cognac-hued colour) ที่แสดงถึงความอบอุ่น ชวนให้นึกถึงฤดูใบไม้ร่วง เม็ดสีอันละเอียดอ่อนช่วยสร้างประกายแวววาวแบบเมทัลลิค และเน้นย้ำภาพลักษณ์ของสมรรถนะอันทรงพลังและความหรูหรา
ปอร์เช่ได้ปรับอัตลักษณ์สีสันใหม่สำหรับทุกรุ่นรถยนต์ เริ่มตั้งแต่การแมทซ์เฉดสีที่ตัดกันอย่างลงตัว เลือกเฉดสีรถในฝัน และเฉดสีในตำนาน (Contrasts, Shades, Dreams and Legends) ซึ่งเป็นชื่อของหมวดหมู่ใหม่สำหรับซีรีส์ สีเมทัลลิก และสีพิเศษ สี (Contrasts) ประกอบด้วยสีคลาสสิกเหนือกาลเวลา ตัวอย่างเช่น สีดำและขาว จะสร้างคอนทราสต์สูงสุด ในทางกลับกันระดับความเข้มของสีขาว สีเทา และสีดำ จัดอยู่ในหมวดหมู่ของ (Shades) ซึ่งรวมถึงโทนสีเงิน เช่น สีเทา Ice Grey Metallic ซึ่งเป็นสีใหม่สำหรับปอร์เช่ พานาเมร่า (Panamera) โดยเฉดสีที่ละเอียดอ่อนเหล่านี้ ช่วยทำให้รถสปอร์ตในฝันของคุณให้ทันสมัยยิ่งขึ้น
กลุ่มสีในหมวดหมู่ของความฝัน (Dreams) คือ กลุ่มสีสดใส สร้างความโดดเด่น เหมาะสำหรับลูกค้าที่ต้องการแสดงออกถึงความเป็นตัวเองและสร้างจุดเด่น ตัวอย่างสีใหม่ในหมวดหมู่นี้ สำหรับปอร์เช่ พานาเมร่า (Panamera) ได้แก่ สีน้ำเงิน Lugano Blue และสีทอง Madeira Gold Metallic และหมวดหมู่ตำนาน (Legends) คือ กลุ่มสีพิเศษที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เป็นการนำโทนสีจากหลากหลายกลุ่มสีมาผสมผสานกัน มีความหรูหรา ทันสมัย และเหนือกาลเวลา ตัวอย่างสีในหมวดหมู่นี้สำหรับปอร์เช่ พานาเมร่า (Panamera) ได้แก่ สีฟ้าMontego Blue Metallic, สีเขียว Oak Green Metallic Neo และสีเทา Slate Grey Neo นอกเหนือจากโปรแกรมซีรีส์เรืองของสีใหม่แล้ว ปอร์เช่ ยังนำเสนอสีที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวมากยิ่งขึ้นด้วย ‘Paint to Sample’ และ ‘Paint to Sample Plus’ อีกด้วย โดย ‘Paint to Sample’ เน้นนำเสนอสีสันคลาสสิคของปอร์เช่ที่เป็นที่รู้จักในประวัติศาสตร์ของบริษัท ปัจจุบันกลุ่มผลิตภัณฑ์ปอร์เช่ทุกรุ่นมีมากกว่า 170 สี ส่วน ‘Paint to Sample Plus’ ยังนำเสนอตัวเลือกในการสร้างสีเฉพาะบุคคลตามข้อกำหนดของลูกค้า
กระบวนการพัฒนาสีของปอร์เช่ไม่ได้หยุดอยู่แค่ขั้นตอนการออกแบบเท่านั้น แต่ทีมผู้เชี่ยวชาญด้านสีของผู้ผลิตรถสปอร์ตจะทำการทดสอบการกำหนดค่าการซ่อม ซึ่งรวมถึงการตรวจสอบความเป็นไปได้ในการซ่อมแซมเฉพาะจุด โดยอิงจากรถยนต์ต้นแบบรุ่นก่อนการผลิตที่ผ่านการพ่นสีแล้ว และจะมีการทดสอบภาคสนามในระหว่างขั้นตอนการพ่นสีในโรงงานของปอร์เช่ สีจะถูกสูบผ่านท่อจากถังไปยังเครื่องพ่นสี การทดสอบเพิ่มเติมจะดำเนินการก่อนที่ลูกค้าจะสามารถเลือกสีในโปรแกรม Car Configurator หรือที่ศูนย์บริการปอร์เช่ได้ โดยเรียกการทดสอบนี้ว่า Weather-o-Meter แผ่นตัวอย่างสีจะถูกฉายด้วยรังสี UV เข้มข้นเป็นเวลา 3,200 ชั่วโมง ซึ่งเทียบเท่ากับการโดนแสงแดดโดยตรงในฟลอริด้าเป็นเวลาหนึ่งปี เครื่องมือนี้ช่วยในการพิสูจน์ความทนทานของสี กระบวนการทดสอบยังรวมถึงการทดสอบการทนไฟ การกระแทกของหิน และการกัดกร่อนของน้ำเค็มอีกด้วย